HIGHLIGHT ACTIVITIES




MY COURSE คอร์สล่าสุด VIEW ALL
FAVORITE COURSE คอร์สโปรด VIEW ALL
NEW COURSE คอร์สใหม่ VIEW ALL
การตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้ใช้งานระบบและผู้ดูแลระบบ

วัตถุประสงค์ 1. มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ IT อย่างถูกต้องปลอดภัย 2. มีความรู้ความเข้าใจในภัยคุกคามต่าง ๆ ในโลกของเทคโนโลยี 3. มีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. มีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่ของตนเองในการใช้งานเทคโนโลยี

การสร้าง Visual Report By Power BI Desktop

"Microsoft Power BI Desktop เป็นโปรแกรมจาก Microsoft ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ หรือช่วยสรุปผลข้อมูลจำนวนมากได้ไม่จำกัด จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Excel File, Microsoft Access Database, SQL Server เป็นต้น และสามารถสร้างรูปแบบรายงานเชิงวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพหรือ Business Intelligence (BI) ที่เหมาะสำหรับนำมาสร้างรายงานในรูปแบบ Interactive ได้อย่างรวดเร็ว Power BI Desktop นั้นมีรูปแบบการนำเสนอข้อมูลของกราฟให้เลือกมากมาย สามารถนำไปใช้งานได้ในรูปแบบ Real Time โดยแสดงผลผ่านเว็บไซต์ และอุปกรณ์ Mobile หรือ Tablet ได้อีกด้วยทำให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมในการวางแผนการทำงาน หรือกำหนดกลยุทธ์ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในทางธุรกิจทำให้คุณนำเสนอได้อย่างมืออาชีพ

สร้างงานนำเสนอให้โดนใจหัวหน้างาน (Excel : PivotTable and PivotChart)

สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากด้วย PivotTable ซึ่งได้เจาะลึกการใช้เครื่องมือที่มีใน Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดเรียง (Sort) การใช้ฟิลเตอร์ (Filter) ในการกรองข้อมูล การสรุปข้อมูลแบบมีเงื่อนไข (Conditional Formatting) การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบแผนภูมิ (Charts) การสรุปข้อมูล (PivotTable) และตัวอย่างการใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์ข้อมูล อันเป็นพื้นฐานแนวความคิดและความรู้ในการพัฒนาและออกแบบฐานข้อมูลทางธุรกิจ พร้อมวิธีการปรับแต่งตาราง PivotTable และ PivotChart ให้เหมาะสมกับประเภทงานที่ต้องการนำเสนอ


Recommend โพสต์แนะนำ VIEW ALL

การจดโน๊ตอย่างไรให้อ่านง่าย ทบทวนกี่ครั้งก็เข้าใจ ด้วยเทคนิค Cornell Note

ในการประชุมหลายคนอาจไม่สามารถจับประเด็นอะไรได้เลย นั่นอาจเป็นเพราะคุณให้ความความสำคัญกับรายละเอียดทุกอย่างมากเกินไป

เทคนิคการจดโน๊ตแบบ Cornell เป็นการโน๊ตที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้เข้าใจได้ง่ายเมื่อนำกลับมาอ่านอีกครั้ง  แถมยังใช้กระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

การจดโน๊ตแบบ Cornell ได้ถูกคิดค้นริเริ่มเมื่อราว ๆ ปี 1940 โดย Dr. Walter Pauk หัวหน้าศูนย์การเรียนรู้ของ Cornell University และเขายังเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสือ Best-seller อย่าง “How To Study In College” อีกด้วย ซึ่งการจดโน๊ตแบบ Cornell เป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และงานวิจัยจำนวนมากก็การันตีว่าเป็นเทคนิคที่สามารถใช้พื้นที่ของกระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ เน้นการสังเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ แต่ก็อาจไม่ได้ผลดีนักหากคุณต้องการท่องจำ จึงมีการนำเทคนิคนี้มาประยุกต์ใช้ในสัมมนาหรือการประชุมด้วย

จุดเด่นของการจดโน๊ตแบบ Cornell นั้นคือจะมีการแบ่งสัดส่วนของหน้ากระดาษอย่างชัดเจน และนั่นจึงส่งผลให้ข้อมูลที่ถูกจดนั้นเป็นระเบียบและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เริ่มจากการแบ่งกระดาษออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 Note-taking Area สำหรับจดทุกอย่างเท่าที่จะจดได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงประโยคยาว ๆ หรืออาจใช้สัญลักษณ์แทนเพื่อง่ายต่อการบันทึกหรือการอ่าน

ส่วนที่ 2 Cue Column สำหรับจดประเด็นสำคัญ หรือคำถามก็ได้ โดยจะเชื่อมโยงจากส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 นี้ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะส่วนนี้จะทำให้คุณสามารถบันทึกรายงานการประชุมได้ผ่านคำสำคัญที่ได้สรุปเอาไว้ แถมดูง่าย สบายตาอีกด้วย

ส่วนที่ 3 Summary Area สำหรับในอนาคตที่เกิดนึกถึงคำถามใหม่ ๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะไปเจอความรู้ใหม่ ๆ ก็นำมาเขียนที่นี่ รวมทั้งอาจใช้เป็นพื้นที่ในการสรุปเนื้อหาก็ได้ การบันทึกในส่วนนี้จะเขียนเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า 24 ชั่วโมง โดยเป็นการสรุปด้วยความเข้าใจในภาษาของตัวเอง

ซึ่งการจดเนื้อหาเป็นส่วน ๆ นั้น ทำให้คุณสามารถใส่ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ และสามารถสังเคราะห์เนื้อหาที่เรียนมาผ่านการสรุปเนื้อหาทุก ๆ ครั้ง

การจดโน๊ตก็เหมือนการจัดระเบียบลิ้นชักความคิดของคุณ ทำให้คุณสามารถหยิบจับเอกสารหรือไอเดียที่ต้องการออกมาได้ง่ายมากขึ้น และยังสามารถช่วยให้คุณเรียนรู้การทำงานแบบใหม่ ๆ ส่งผลให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น แก้ปัญหาได้ดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่นได้ดีมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการได้

การจดโน๊ตของแต่ละคนก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนชอบจดบนกระดาษ บางคนชอบจดในสมุดโน๊ต บางคนชอบจดหรือพิมพ์ในโทรศัพท์มือถือขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคน เราอยากให้คุณลองหาเทคนิควิธีในการจดบันทึกแบบเฉพาะของตัวเองเพื่อต่อยอดในการทำงานที่ดีขึ้น หรือคุณจะนำการจดบันทึกแบบ Cornell Note ไปปรับใช้ดูก็เป็นวิธีการที่ไม่เลวเลย 

 

ขอบคุณที่มาจาก : Jacobs, Keil. A Comparison of Two Note Taking Methods in a Secondary English Classroom Proceedings: 4th Annual Symposium: Graduate Research and Scholarly Projects [79] Conference proceedings held at the Eugene Hughes Metropolitan Complex, Wichita State University, April 25, 2008. Symposium Chair: David M. Eichhorn.

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65016 Effective Meeting Management  เทคนิคการประชุมอย่างมีประสิทธิผล


เพราะอะไร HR จึงควรใส่ใจเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance ) ของพนักงาน?

แน่นอนว่าสำหรับ HR นั้นเรื่องของการเจ็บป่วยของพนักงานนั้นย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยตรง

และจากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่าในแต่ละปีมีคนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักจำนวนมาก ซึ่งคนทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กระทบหนักสุด ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ Kisi บริษัทเทคโนโลยีให้คำปรึกษาด้านการทำงานทำผลสำรวจทั่วโลกในหัวข้อ “Cities with the Best Work-Life Balance 2021” เพื่อค้นหาว่าเมืองไหนในโลกที่มีการทำงานที่สมดุลที่สุดแห่งปี 2021 'กรุงเทพฯ' ติดอันดับ 3 เมืองที่ผู้คนทำงานหนักที่สุดในโลก! 

การที่พนักงานทำงานหนักเกินไป ปริมาณงานที่ถาโถมเข้ามา ความเครียดที่เกิดจากการทำงาน และการทำงานแบบ wfh (Work From Home) ที่ทำให้พนักงานเริ่มแบ่งแยกเวลาส่วนตัวกับเวลาทำงานไม่ออก ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ความเครียดของพนักงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้นแล้ว HR เองก็สามารถช่วยดูแลในเรื่องสุขภาพของพนักงานได้ โดยให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ของพนักงานในเรื่องดังต่อไปนี้

- ให้ความรู้เรื่องการบริหารเวลา

- กำหนดหลักเกณฑ์ในการติดต่อพนักงานนอกเวลาทำการ

- พิจารณาสิทธิ์การลาที่มากกว่าค่าเฉลี่ยขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้

- ไม่นำเอาเวลาในการลามาใช้ประกอบในการประเมินผลงาน

- เข้างานแบบยืดหยุ่นเวลา

- ทำงานจากที่ไหนก็ได้

เมื่อพนักงานมี work-life balance ที่ดีนั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของความผูกพันธ์กับองค์กรโดยตรงแล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงของพนักงาน ทำให้พนักงานพร้อมลุยงาน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : What is work-life balance? (hibob.com)

https://www.who.int/news/item/17-05-2021-long-working-hours-increasing-deaths-from-heart-disease-and-stroke-who-ilo

https://www.getkisi.com/work-life-balance-2021

 


6 แนวโน้มและการคาดการณ์ HR ในปี 2022 ที่ควรพิจารณา

ใกล้จะสิ้นปี 2021 แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องเริ่มต้นเตรียมการสำหรับปี 2022 และปรับเป้าหมายภายในองค์กรให้สอดคล้องกับแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้แทบทุกอุตสาหกรรมต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง กระบวนทัศน์ในการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานอย่างกะทันหันและการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจ

มาดูแแนวโน้มและการคาดการณ์ สำคัญสำหรับปี 2022 กันว่า  HR จะต้องตั้งรับเรื่องอะไรกันบ้างในปีหน้า

1. ทำงานผ่านทางไกล หรือที่ไหนก็ได้

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้บังคับให้องค์กรต่าง ๆ ต้องปรับมาใช้รูปแบบการทำงานโดยที่พนักงานต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from home) การทำงานแบบทางไกล (Work Remoting) ดูเหมือนจะเป็นอนาคตของการทำงานในปีหน้าด้วย จากการสำรวจผู้บริษัทระดับสูง (C-suite) พบว่า “79% ของผู้บริษัทระดับสูง (C-suite) จะอนุญาตให้พนักงานแบ่งเวลาระหว่างการทำงานที่บริษัทกับที่บ้าน หากงานของพวกเขาเอื้ออำนวย” จุดประสงค์ก็เพื่อให้อำนาจแก่พนักงานและทำให้พวกเขามีส่วนร่วมแม้ในเวลาที่ยากลำบาก แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่สถานที่ทำงานของพนักงาน การทำงานแบบทางไกลจะยังคงเป็นหนึ่งในเทรนด์ HR ในปี 2565 อย่างแน่นอน

2. พัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงานภายในองค์กร

การเพิ่มทักษะและความสามารถให้กับพนักงานถือเป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญของ HR มาโดยตลอด ความต้องการนี้อาจจะมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน แทนที่ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะจ้างผู้มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาช่วย กลับมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะและเพิ่มความสามารถให้กับพนักงานที่มีอยู่แทน เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ขององค์กร นี่จึงเป็นหนึ่งในแนวโน้มของ HR ทั่วโลกและจะคงอยู่ไปอีกนาน

3. เคลื่อนย้ายพนักงานที่มีความสามารถ

หนึ่งในแนวโน้ม HR ในปี 2022 คือการเคลื่อนย้ายพนักงานที่มีความสามารถภายในองค์กร การเคลื่อนย้ายภายในช่วยให้มั่นใจถึงการรักษาและการพัฒนาความเป็นผู้นำให้กับพนักงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุน ลดเวลา และความพยายามในการว่าจ้างผู้มีความสามารถจากภายนอก

4. สุขภาพจิตและสุขภาพกายของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ

ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 พนักงานต่างได้รับความกดดันอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพหลายประการแก่พนักงาน จากผลการวิจัยของ Global Wellness Institute ระบุว่า “65% ของบริษัทต่าง ๆ ใช้จ่ายไปกับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจให้กับพนักงานของตนเพิ่มมากขึ้น” ซึ่งแนวโน้ม HR ทั่วโลกก็มีการสนับสนุนให้พนักงานดูแลสุขภาพของตนเอง ด้วยการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การขอคำปรึกษาด้านสุขภาพจิต และการปฏิบัติเพื่อสุขภาพด้านอื่น ๆ

5. สร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน

ในปี 2022 บริษัทต่าง ๆ จะมีพนักงานทำงานร่วมกันถึง 5 Gen. ตั้งแต่ Baby boomers ไปจนถึง Gen. Z การจัดการแรงงานจากหลายรุ่นและการลดความแตกต่างให้เหลือน้อยที่สุดจะเป็นหนึ่งในแนวโน้ม HR ในปี 2565 ที่โดดเด่น

จากรายงานของ Deloitte “มีเพียง 6% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เชื่อว่าผู้บริหารของพวกเขาพร้อมที่จะเป็นผู้นำแรงงานจากหลายรุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ” กล่าวกันว่าคนใน Gen. Baby boomers มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีน้อยกว่าและให้ความสำคัญกับโอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพน้อยลง ในทางกลับกันคน Gen. Y และ Gen. Z มีแนวโน้มที่จะชอบบริษัทที่มีโอกาสเติบโตที่ดีกว่าและสภาพแวดล้อมการทำงานดิจิทัลมากกว่า ดังนั้นในปีหน้าการจัดการแรงงานที่มีความแตกต่างกันอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับองค์กร การมีส่วนร่วมของผู้คน และการสนับสนุนให้มีปฏิสัมพันธ์บ่อยครั้งจึงเป็นวิธีในการจัดการพนักงานที่มีความแตกต่างให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ HR จำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรม ความคิด และความคาดหวังของพนักงานจากหลายรุ่น และจัดหาโซลูชันที่เหมาะสม

6. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยจากภัยทางไซเบอร์

ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เพราะรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป (Work form home) ฟิชชิง (Phishing) และมัลแวร์ (Malware) เป็นภัยคุกคามที่พบบ่อยที่สุด ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและการใช้แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดี จึงเป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญของ HR ในปี 2022 อย่างแน่นอน

 

ปี 2022 กำลังจะเริ่มต้น! เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับ HR ในการเตรียมพร้อมและเปิดรับแนวโน้ม HR ในอนาคตที่กำลังเกิดขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : Future HR Trends 2022

Popular โพสต์สำคัญ VIEW ALL

เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่สมดุล ด้วยสูตร “8:8:8"

เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หลายคนมักบ่นว่าไม่มีเวลา! ทำงานไม่ทัน! มาบริการจัดการเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่งานเพียงอย่างเดียว มาแบ่งเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักด้วยสูตร “8:8:8” กัน

สูตร “8:8:8” เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบริ์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน

สูตร “8:8:8” เป็นการแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของ 1 วัน ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันคือ

8 ชั่วโมงแรก: อยู่กับงานให้เต็มที่ (Work Smart) เป็นช่วงเวลาที่เราใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งในแต่ละวันเราควรตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ควรหาเวลาพักเบรกระหว่างทำงานด้วย เช่น 1 ชั่วโมง พัก 5 นาที ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่น ฟังเพลง เพื่อลดความเครียดในการทำงาน

8 ชั่วโมงที่สอง: ดูแลตัวเองและครอบครัว (Quality Time) เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของตนเอง พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อฝูง หรือทำงานอดิเรก

8 ชั่วโมงที่สาม: พักผ่อนให้เพียงพอ (Live Well) เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนและการนอน เพราะสุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง การนอนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งในแง่ของการฟื้นฟูพละกำลัง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของฮอร์โมนที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย และยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับอีกด้วย

สูตรการบริหารเวลา “8:8:8” จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาในด้านต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถที่จะยืดหยุ่นเวลาได้ตามไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งทางที่ดีที่สุดควรให้แต่ละด้านมีเวลาเท่า ๆ กัน และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ชีวิตของเราก็จะสมดุล


HR 4.0 กับความท้าทายที่ต้องเรียนรู้

หลายคนต้องเคยได้ยินมาแล้วว่า ในโลกยุค Disruptive World จะมีคนจำนวนมากที่ถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ในการทำงาน หลาย ๆ อาชีพจะหมดไป ตัวอย่างเช่น อาลีบาบา (Alibaba)เริ่มมีการพัฒนาและทดลองระบบสมองกล Artificial Intelligence (AI) ในวงการแพทย์

ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ถึงเวลาที่ต้องเพิ่มศักยภาพและใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาผู้นำ และผู้บริหารระดับสูง เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบการทำการศึก “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล” (Human Resources) เป็นเหมือนแม่ทัพเงาขององค์กร  ที่ต้งเก่งทั้งบุ๋น และบู๊ เพราะเป็นหน้าด่านสำคัญในการสรรหาบุคคลากรเข้าสู่องค์กร

ดังนั้น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค 4.0 ให้ทันท่วงที ต้องเสริมศักยภาพใหม่ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดใจคนกลุ่มใหม่ ๆ เข้าสู่องค์กร

ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ในหลายองค์กรต่างให้ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับองค์ความรู้ในการยกระดับ และพัฒนาบุคลากรด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 4 ทักษะ ดังนี้

1. Business Acumen

ทุกวันนี้เศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กลุ่มลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม และความสนใจตลอดเวลา องค์กรต้องทำงานด้วยความเร็ว ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ยุคใหม่ ก็ต้องอ่านเกมส์ทั้งในเรื่องบุคลากรและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างชัดเจน

ซึ่งนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บุคลากรในองค์กรต้องเสริมทักษะ สร้างความหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ นอกจากนี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องปรับเปลี่ยนการคัดสรรคอร์สการเรียนรู้เพื่อเสริมบุคลากรให้แข็งแกร่งให้เหมาะสมกับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปนี้

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องมีปฏิภาณทางธุรกิจ ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ด้านการดำเนินธุรกิจขององค์กร และต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง”

2. HR Technology and Data Analytics

การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อค้นหาและเข้าถึงข้อมูลเฉพาะบนโลกออนไลน์นับมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคลังค้นหาข้อมูลที่อัดแน่นด้วยข้อมูลหลากหลายมิติ ต้องทำงานจากข้อมูลจริงของทั้งพนักงาน และสถานการณ์แวดล้อม เพื่อเข้าถึงความต้องการของบุคลากรในองค์กร จัดข้อมูลเพื่อให้ทีมผู้บริหารแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้บุคลากรสนุกกับการตอบคำถาม หรือง่ายต่อการเก็บข้อมูล นั่นแปลว่าองค์กรไม่สามารถจะลงทุนแค่กับเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ด้วย

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้ทันยุคเพื่อแสวงหาความต้องการของบุคลากร ต้องอ่านข้อมูลและแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง และครบสมบูรณ์”

3. Marketing Expertise 

จากกระแสโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเข้าใจสถานการณ์และความต้องการขององค์กร เพื่อที่จะคัดสรรและปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดสรรบุคลากรที่จะเข้าร่วมงานกับองค์กรได้อย่างเหมาะสม ต้องดูแลพนักงาน สื่อสารกับพนักงานเปรียบเสมือนลูกค้า เข้าใจ เป็นมิตร ใกล้ชิด เพื่อจะได้ศึกษา รับรู้พฤติกรรม ความต้องการ และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานในการขับเคลื่อนองค์กรตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของการทำงานในรูปแบบเดียวกับที่ฝ่ายการตลาดใช้เครื่องมือมาร์เก็ตติ้งในการดึงดูดลูกค้า

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องขายของให้เป็น”

4. HR Agility

สภาวะเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวรุนแรงและรวดเร็ว นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับทุกองค์กร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ในการทำงานหรือสามารถทำงานมากกว่าที่ตนเองรับผิดชอบได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับบุคลากรคนอื่น ๆ เกิดการเรียนรู้และเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้ได้มากที่สุด

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องพร้อมปรับตัว และสร้างความคล่องตัวให้ได้มากที่สุด”

จะเห็นได้ว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการติดต่อทั้งภายนอกและภายในองค์กรย่อมต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งติดองค์ความรู้ เสริมทักษะให้ครบเพื่อเป็นขุมพลังสำคัญให้กับองค์กรต่อไป


7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย

91% ของยอดขายทั่วโลกทำผ่านโทรศัพท์

80% ของรายได้บริษัทมาจากฝ่ายขาย

ในแต่ละปีบริษัทมักสูญเสียลูกค้า 10%-30%

มีเพียง 2% ของยอดขายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพบผู้มุ่งหวังครั้งแรก 

18% ของยอดขายมักล้มเหลวในขั้นตอนปิดการขาย

47% ของลูกค้าเคยซื้อผลิตภัณฑ์/บริการแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบริการจากผู้ขายที่ไม่ดี

63% ของผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์/บริการจะไม่ซื้ออย่างน้อย 3 เดือน

20% ของผู้มุ่งหวังจะใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการซื้อหลังจากการติดต่อครั้งแรก!

มีเพียง 20% ของผู้มุ่งหวังที่ได้รับการโทรติดตาม ส่วนอีก 80% หายไป

 

7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย

1. การเตรียมข้อมูลก่อนพบลูกค้า

ก่อนที่จะเข้าพบลูกค้า เราจะต้องทำค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้า ธุรกิจของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ที่หามาได้จัดทำเป็นแผนการดำเนินงานในการเข้าพบลูกค้า

2. การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า/ผู้มุ่งหวัง

การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีจะสร้างความผูกพันระยะยาวกับลูกค้าให้อยู่กับเรา ลูกค้าที่รักเราเป็นเสมือนกระบอกเสียงด้านบวกให้กับสินค้า/บริการ เป็นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร

3. การนำเสนอข้อมูลบริษัท

การแนะนำตนเองและนำเสนอข้อมูลบริษัทให้ดูดี เป็นที่น่าจดจำ ย่อมทำให้ความรู้สึกของลูกค้านั้นเป็นบวก

4. การนำเสนอที่สร้างความเชื่อมั่น คล้อยตาม

การนำเสนอที่ทำให้ลูกค้ารู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้า/การบริการ ผลประโยชน์ และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่จะได้รับ เป็นการนำเสนอที่สามารถสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ และสามารถเปลี่ยนภาพของเราจากพนักงานขายไปเป็นที่ปรึกษาที่นั่งในใจลูกค้าได้

5. การเปิด-ปิดการขาย

การเปิดการขายเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะถ้าเริ่มต้นไม่ดี ก็จบเห่ ฉะนั้น การเปิดการขายสำคัญพอ ๆ กับการปิดการขาย 

6. การเล่าเรื่อง

การเล่าเหมือนนิทานหรือนิยาย จะสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ฟังสนใจ และจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี การเล่าเรื่องเป็นอีกทักษะที่สำคัญเพื่อใช้ในการช่วยการนำเสนอเลยก็ว่าได้

7. การท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น

พนักงานขายจำเป็นต้องมีความท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น โดยตั้งจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

 

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ หลักสูตร : C0010 เทคนิคปิดการขายทันใจ กำไรทะลุเป้า (Sales Techniques)

Latest โพสต์ล่าสุด VIEW ALL

test2

ffff


บริหารเวลาง่าย ๆ ด้วย “Eisenhower Box”

รอบตัวในการทำงานนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนหลาย ๆ ครั้งเราแทบไม่รู้ว่าเราควรที่จะลงมือแก้ปัญหาจากจุดไหนก่อนดี เพราะหลายครั้งเราไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงมือจัดการปัญหาตามลำดับความสำคัญ เราขอนำเสนอเทคนิคการใช้ “Eisenhower Box” ซึ่งเครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการบริหารเวลาในการทำงานได้อีกด้วย

Eisenhower Box หรือ Eisenhower Matrix เป็นแนวคิดของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำเพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของการทำงานผ่านตารางทั้ง 4 ช่อง ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ, งานไม่ด่วนแต่สำคัญ, งานด่วนแต่ไม่สำคัญ ไปจนถึงงานที่ไม่ด่วนและไม่สำคัญ

หัวใจหลักของการใช้ Eisenhower Box คือการแยกความหมายระหว่างด่วนกับสำคัญ ให้ออกเพื่อจะได้รู้ว่าหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอยู่ควรจัดการอย่างไร

ด่วน คือ สิ่งที่ต้องการความสนใจทันที ต้องใช้เวลาตัดสินใจสั้น

สำคัญ คือ สิ่งที่ไม่ต้องรีบแต่ก็ต้องทำสักวันในอนาคต หรืองานที่อาศัยการวิเคราะห์และความละเอียด ทำแล้วมีผลระยะยาว รวมถึงเมื่อทำเสร็จเราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ

หวังว่า Eisenhower Box ที่นำมาฝากกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการตารางเวลาการทำงานและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระ และเพิ่มเวลาในชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก : 

https://leventje.nl/eisenhower-matrix/

https://www.spica.com/blog/the-eisenhower-matrix

 


5 วิธี เอาชนะ Monday Blues

พรุ่งนี้วันจันทร์!!!

 

เกลียดวันจัทร์ หรือ Monday Blues เป็นอาการที่แค่นึกถึงวันจันทร์ก็ไม่สบายใจแล้ว มีหลายคนเป็นโรคนี้กันจนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของหลายประเทศไปเลย

โรคเกลียดวันจันทร์ ไม่ต้องบำบัด แต่ต้องหาวิธีรับมือ

 

มาดู 5 วิธีรับมือกับอาการนี้กันดีกว่า

 

1. รีบเคลียร์งานบ้าน

คนทำงานส่วนใหญ่ มักทำงานบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันเสาร์ จะได้ใช้เวลาพักผ่อนแบบเต็มที่ในวันอาทิตย์ ชาร์จพลังให้พร้อมกับมาทำงานอย่างเต็มที่

 

2. ใช้วันหยุดพักผ่อนให้คุ้มค่าที่สุด

บางคนมักจะปล่อยวันหยุดไปกับการนอนตื่นสาย หรือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าในวันหยุดคือ การทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า น่าจดจำ น่าประทับใจ และมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนวันหยุดของเราเอาไว้ ว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น เช่น วางแผนการไปเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ แต่ถ้าไม่อยากออกไปเสี่ยงภายนอกก็อาจจะนัดทานข้าว หรือหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันภายในบ้านก็น่าสนใจค่ะ

 

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนวันอาทิตย์

การเข้านอนให้เร็วขึ้นในคืนวันอาทิตย์และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหากได้พักผ่อนไม่กี่ชัวโมง แล้วต้องมาตื่นในขณะที่ร่างกายและสมองของคุณยังไม่พร้อม การเริ่มต้นวันจันทร์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หม่นหมอง อารมณ์ไม่ดี หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำงานได้

 

4. ทำลิสต์สำหรับสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง

สาเหตุที่หลายคนรู้สึกไม่ชอบวันจันทร์อาจเพราะว่าอะไรหลาย ๆ อย่างดูเร่งรีบไปหมด จนทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบในการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมีการวางแผนที่ดีจดสิ่งที่ต้องทำหรือเขียนแพลนเนอร์เอาไว้ ในแต่ละวันของสัปดาห์คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือเคลียร์งานอะไรให้เสร็จ เขียนเดดไลน์ให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ง่ายขึ้น

 

5. หาแรงบันดาลใจ

ลองหาแรงบันดาลใจในที่ทำงาน จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และทำให้วันทำงานของคุณกลายเป็นวันดี ๆ

 

ทั้งหมดนี้คิอ 5 วิธีการรับมือกับอาการเกลียดวันจันทร์ที่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้นลดลงไปได้บ้าง

 

ขอบคุณที่มา : https://varnam.my/featured/2022/55788/five-things-to-do-to-get-your-sundays-prepped-for-monday/