| ฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก หลาย ๆ คนอาจเคยเจอเหตุการณ์ รู้สึกคุ้น ๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ โดยรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไม่สามารถนึกออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนติดอยู่ตรงปาก อาการแบบนี้เรียกว่า “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น (Tip-of-the-tongue)” เกิดจากสมองไม่สามารถเชื่อมโยงความหมายและเสียงของคำที่ต้องการได้ทั้งหมด ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณไม่ได้ยินหรือพูดคำนั้นเป็นเวลานาน แม้ว่าชื่อนั้นจะฝังอยู่ในความจำระยะยาว (Long-Term Memory) ก็ไม่สามารถดึงความจำออกมาได้ทั้งหมด ทำให้นึกออกเพียงพยางค์หรือตัวอักษรบางตัวเท่านั้น วิธีที่จะทำให้คุณสามารถนึกถึงคำเป้าหมายออกมาได้ คือ ให้พยายามนึกถึงพยัญชนะสำคัญที่พอจะนึกออก แล้วค่อย ๆ นำมาประกอบเป็นคำ ๆ จนกระทั่งสมองของคุณสามารถเชื่อมโยงไปสู่คำที่ถูกต้องได้ ปรากฏการณ์ “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น” ถือเป็นอาการปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกคนเป็นครั้งคราว หรือเกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีอายุมากขึ้น ไม่ใช่อาการผิดปกติอะไรนะทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เรามาฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก กันเถอะ จากรายงานของ Dr. Amishi Jha ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยไมแอมีและผู้แต่งหนังสือเรื่อง “Peak Mind: Find Your Focus, Own Your Attention, Invest 12 Minutes a Day” ได้กล่าวไว้ว่า การที่คนเราจะจดจำอะไรบางอย่างได้ดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง นั่นก็คือ 1. การฝึกฝน (Rehearsal) : การพยายามนึกถึงความสนใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วพยายามดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น การเล่นทายคำกับเพื่อน ๆ ว่าท่าทางที่เพื่อนทำนั้นคืออะไรนั่นเอง 2. การขยายความ (Elaboration) : การนำประสบการณ์ หรือความรู้เดิมที่มีอยู่ไปเชื่อมต่อกับความสนใจที่มีต่อสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้จดจำสิ่งใหม่ ๆ แล้วยังช่วยให้จดจำได้ดียิ่งขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น เพื่อนบอกให้คุณนึกถึงภาพนกฟลามิงโก้ และเพื่อนก็บอกคุณอีกว่า รู้ไหมว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัวตลอดเลยนะ จะเห็นได้ว่าตอนแรกคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ตอนนี้คุณก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้เพิ่มมากขึ้น กระบวนการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้คือ การที่คุณนำความรู้ที่มีอยู่มาเชื่อมต่อกับความรู้ใหม่ ทำให้คุณจดจำสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณบังเอิญเห็นนกฟลามิงโก้ คุณก็อาจนึกขึ้นมาได้ว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัว 3. การรวบรวม (Consolidation) : ทั้งสองกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นกระบวนการที่ช่วยสนับสนุนการสร้างหน่วยความจำเริ่มต้น แต่หากคุณต้องการเปลี่ยนจากระยะเริ่มต้น คุณต้องพยายามนึกซ้ำ ทำซ้ำ หลาย ๆ ครั้ง โดยโฟกัสที่กิจกรรมเหล่านั้น เพื่อให้สามารถจดจำได้แม่นมากขึ้น การนึกซ้ำ ๆ ทำซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดเป็นความจำระยะยาวที่แข็งแกร่งขึ้น อีกหนึ่งวิธีเบสิคที่ดี และทำได้ง่าย ๆ ก็คือการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้มาก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีดีต่อสมองของคุณเช่นกัน และนี่ก็คือการฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก ใครนําไปใช้และได้ผลก็อย่าลืมคอมเมนต์ด้านล่างเพื่อบอกกันบ้างนะ
ขอบคุณที่มาจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Tip_of_the_tongue#:~:text=Tip of the tongue (also,feeling that retrieval is imminent. https://www.cnbc.com/2022/01/01/a-neuroscientist-shares-the-3-step-brain-exercise-she-does-for-a-stronger-and-healthier-memory.html |
| หยุดต่อเลยได้ไหม อาการเฉาหลังวันหยุดยาว “Post-Vacation Blues” ในช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา เชื่อว่าหลาย ๆ คนไปเที่ยว พักผ่อนกัน ปล่อยว่างจากการทำงานที่หนักหน่วง แต่เป็นไหม? เมื่อวันหยุดผ่านไป อาการเฉาก็จะตามมาทุกที! อาการเฉาหรืออาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาวนี้ ทางจิตวิทยาเรียกว่า “Post-Vacation Blues” เป็นอาการแห่งความหดหู่เศร้าซึมหลังจากการไปเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดหลาย ๆ วัน โดยอาการที่ว่านี้ ก็มักจะงอแงไม่อยากไปทำงาน เอาแต่หวนนึกถึงความสุข ในช่วงการเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมา “Post-Vacation Blues” หรืออาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาวจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน อาการก็จะหายไปเอง เมื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตตามปกติ หลายคนคงมีคำถามว่า “แล้วจะจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร ให้กลับมาทำงานได้อย่างแฮปปี้อีกครั้ง” มาดูวิธีแก้อาการนี้กัน
“Post-Vacation Blues” ถึงแม้จะไม่ใช่ภาวะที่อันตราย แต่ก็ทำร้ายสุขภาพจิต และคุณภาพงานได้ ดังนั้น หากเราสามารถรับมือได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตเราก็สามารถกลับมาสู่สมดุลได้เร็ว
ขอบคุณที่มาจาก : สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน https://distantjob.com/blog/post-vacation-blues/ https://myexam.allen.ac.in/how-to-beat-post-vacation-blues-here-are-some-tips-for-students/ https://helsinkimylove.wordpress.com/tag/post-vacation-blues/ |
| เพราะอะไร HR จึงควรใส่ใจเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance ) ของพนักงาน? แน่นอนว่าสำหรับ HR นั้นเรื่องของการเจ็บป่วยของพนักงานนั้นย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยตรง และจากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่าในแต่ละปีมีคนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักจำนวนมาก ซึ่งคนทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กระทบหนักสุด ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ Kisi บริษัทเทคโนโลยีให้คำปรึกษาด้านการทำงานทำผลสำรวจทั่วโลกในหัวข้อ “Cities with the Best Work-Life Balance 2021” เพื่อค้นหาว่าเมืองไหนในโลกที่มีการทำงานที่สมดุลที่สุดแห่งปี 2021 'กรุงเทพฯ' ติดอันดับ 3 เมืองที่ผู้คนทำงานหนักที่สุดในโลก! การที่พนักงานทำงานหนักเกินไป ปริมาณงานที่ถาโถมเข้ามา ความเครียดที่เกิดจากการทำงาน และการทำงานแบบ wfh (Work From Home) ที่ทำให้พนักงานเริ่มแบ่งแยกเวลาส่วนตัวกับเวลาทำงานไม่ออก ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ความเครียดของพนักงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแล้ว HR เองก็สามารถช่วยดูแลในเรื่องสุขภาพของพนักงานได้ โดยให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ของพนักงานในเรื่องดังต่อไปนี้ - ให้ความรู้เรื่องการบริหารเวลา - กำหนดหลักเกณฑ์ในการติดต่อพนักงานนอกเวลาทำการ - พิจารณาสิทธิ์การลาที่มากกว่าค่าเฉลี่ยขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ - ไม่นำเอาเวลาในการลามาใช้ประกอบในการประเมินผลงาน - เข้างานแบบยืดหยุ่นเวลา - ทำงานจากที่ไหนก็ได้ เมื่อพนักงานมี work-life balance ที่ดีนั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของความผูกพันธ์กับองค์กรโดยตรงแล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงของพนักงาน ทำให้พนักงานพร้อมลุยงาน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : What is work-life balance? (hibob.com) https://www.who.int/news/item/17-05-2021-long-working-hours-increasing-deaths-from-heart-disease-and-stroke-who-ilo https://www.getkisi.com/work-life-balance-2021
|
| เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่สมดุล ด้วยสูตร “8:8:8" เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หลายคนมักบ่นว่าไม่มีเวลา! ทำงานไม่ทัน! มาบริการจัดการเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่งานเพียงอย่างเดียว มาแบ่งเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักด้วยสูตร “8:8:8” กัน สูตร “8:8:8” เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบริ์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน สูตร “8:8:8” เป็นการแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของ 1 วัน ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันคือ 8 ชั่วโมงแรก: อยู่กับงานให้เต็มที่ (Work Smart) เป็นช่วงเวลาที่เราใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งในแต่ละวันเราควรตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ควรหาเวลาพักเบรกระหว่างทำงานด้วย เช่น 1 ชั่วโมง พัก 5 นาที ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่น ฟังเพลง เพื่อลดความเครียดในการทำงาน 8 ชั่วโมงที่สอง: ดูแลตัวเองและครอบครัว (Quality Time) เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของตนเอง พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อฝูง หรือทำงานอดิเรก 8 ชั่วโมงที่สาม: พักผ่อนให้เพียงพอ (Live Well) เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนและการนอน เพราะสุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง การนอนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งในแง่ของการฟื้นฟูพละกำลัง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของฮอร์โมนที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย และยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับอีกด้วย สูตรการบริหารเวลา “8:8:8” จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาในด้านต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถที่จะยืดหยุ่นเวลาได้ตามไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งทางที่ดีที่สุดควรให้แต่ละด้านมีเวลาเท่า ๆ กัน และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ชีวิตของเราก็จะสมดุล |
| กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง การพรีเซนต์งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะต่อให้คุณทำงานดีแค่ไหนแต่ไม่สามารถอธิบายหรือพรีเซนต์ให้หัวหน้าฟังหรือลูกค้ารู้ได้ว่าโปรเจคนี้เป็นอย่างไร ก็เป็นอันจบ! แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณพรีเซนต์ออกมาอย่างมือโปร ได้ใจทั้งหัวหน้าและลูกค้า วันนี้ WISIMO มีเคล็บลับ “กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง” มาฝากทุกคน มารู้จักกฎ “กฎ 10 นาที” กันก่อน เคยสังเกตรึเปล่า ว่าทุกครั้งที่นั่งประชุม หรือฟังการพรีเซนต์ คุณจะตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือเริ่มอยากจะวาดรูปเล่น จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา เรื่องระดับความสนใจของผู้ฟังกับระยะเวลาในการนำเสนอ ของ Antony Jay and Ros Jay ในปี 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการนำเสนอที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย ซึ่งสอดคล้องกับ John Medina นักอณูชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ ว่าเกิดจากนาฬิกาในร่างกายของเรา ที่กำหนดให้เรามีสมาธิเต็มที่ ได้ไม่เกิน 10 นาที จากนั้น ระดับความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้นำเสนอที่ดีจะต้องไม่ปล่อยให้กราฟความสนใจของผู้ฟังเกิดขึ้นแบบนี้ แต่จะต้องทำยังไง เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้ได้ มาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้ 10 นาทีนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน 1. กำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ก่อนการนำเสนอ ก่อนจะพรีเซนต์งานทุกครั้งคุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน วิเคราะห์เนื้อหาโดยการย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น และวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อสร้างสื่อและวิธีนำเสนอที่เหมาะสม 2. วางโครงสร้างเนื้อหา การวางโครงสร้างเนื้อหาสามารถแบ่งอออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนเกริ่นนำ (Opening) ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณจะต้องเปิดให้ดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวคุณ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น เน้นติดตาม ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ฟังได้ทราบ แต่คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และส่วนสรุป (Closing) ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะสร้างความจดจำ เน้นย้ำให้เห็นด้วย หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง ในการวางโครงสร้างเนื้อหาคุณอาจนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ร่วมด้วย เพราะการพรีเซนต์งานด้วยข้อมูลหนัก ๆ หรืออัดแน่นด้วยตัวเลขทางสถิติอาจทำให้คุณดูมีความรู้ มีการเตรียมการมาอย่างดี แต่จะไม่มีใครจำในสิ่งที่คุณพูดได้ ในทางกลับกันการบอกเล่าเรื่องราวโดยการสื่อด้วยน้ำเสียงที่เข้าถึงอารมณ์ด้วยการเล่าเรื่องหรือการยกตัวอย่างง่าย ๆ จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและจดจำได้ดีกว่า แต่ต้องเล่าให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น ถ้าออกทะเลเมื่อไหร่ผู้ฟังก็อาจจะออกจากห้องไปด้วยเช่นกัน เมื่อคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีเนื้อหาที่ย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น มีวิเคราะห์ผู้ฟัง และมีการวางโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ก็ลองนำ “กฎ 10 นาที” มาปรับใช้กับการ พรีเซนต์งานของคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนไม่ควรพูดนานเกิน 10 นาที จากนั้นอาจเว้นด้วยการให้รับชมภาพประกอบ หรือวีดีโอ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาในส่วนถัดไป สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวช่วยให้คุณมีความกล้าพูดและพรีเซนท์งานไม่ติดขัดก็คือ “การซ้อมพูด” ไปก่อนนั่นเอง คนไหนที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหัวหน้าหรือลูกค้า ลองซ้อมพูดหน้ากระจก หรือจำลองสถานการณ์ว่าตอนนี้คุณกำลังนำเสนองานอยู่ดู การเตรียมความพร้อมในการนำเสนอไปนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณลดความประหม่าลงได้แล้ว ยังทำให้คุณแก้ไขเนื้อหาและสไตล์การพูดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย และทั้งหมดนี้คือ “กฎ 10 นาที” ที่จะช่วยให้คุณพรีเซนต์งานให้ปัง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65001 ทักษะการนำเสนอสู่ความสำเร็จ (Presentation Skills)
|
| HR 4.0 กับความท้าทายที่ต้องเรียนรู้ หลายคนต้องเคยได้ยินมาแล้วว่า ในโลกยุค Disruptive World จะมีคนจำนวนมากที่ถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ในการทำงาน หลาย ๆ อาชีพจะหมดไป ตัวอย่างเช่น อาลีบาบา (Alibaba)เริ่มมีการพัฒนาและทดลองระบบสมองกล Artificial Intelligence (AI) ในวงการแพทย์ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ถึงเวลาที่ต้องเพิ่มศักยภาพและใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาผู้นำ และผู้บริหารระดับสูง เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบการทำการศึก “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล” (Human Resources) เป็นเหมือนแม่ทัพเงาขององค์กร ที่ต้งเก่งทั้งบุ๋น และบู๊ เพราะเป็นหน้าด่านสำคัญในการสรรหาบุคคลากรเข้าสู่องค์กร ดังนั้น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค 4.0 ให้ทันท่วงที ต้องเสริมศักยภาพใหม่ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดใจคนกลุ่มใหม่ ๆ เข้าสู่องค์กร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ในหลายองค์กรต่างให้ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับองค์ความรู้ในการยกระดับ และพัฒนาบุคลากรด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 4 ทักษะ ดังนี้ 1. Business Acumen ทุกวันนี้เศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กลุ่มลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม และความสนใจตลอดเวลา องค์กรต้องทำงานด้วยความเร็ว ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ยุคใหม่ ก็ต้องอ่านเกมส์ทั้งในเรื่องบุคลากรและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างชัดเจน ซึ่งนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บุคลากรในองค์กรต้องเสริมทักษะ สร้างความหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ นอกจากนี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องปรับเปลี่ยนการคัดสรรคอร์สการเรียนรู้เพื่อเสริมบุคลากรให้แข็งแกร่งให้เหมาะสมกับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปนี้ “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องมีปฏิภาณทางธุรกิจ ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ด้านการดำเนินธุรกิจขององค์กร และต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง” 2. HR Technology and Data Analytics การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อค้นหาและเข้าถึงข้อมูลเฉพาะบนโลกออนไลน์นับมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคลังค้นหาข้อมูลที่อัดแน่นด้วยข้อมูลหลากหลายมิติ ต้องทำงานจากข้อมูลจริงของทั้งพนักงาน และสถานการณ์แวดล้อม เพื่อเข้าถึงความต้องการของบุคลากรในองค์กร จัดข้อมูลเพื่อให้ทีมผู้บริหารแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้บุคลากรสนุกกับการตอบคำถาม หรือง่ายต่อการเก็บข้อมูล นั่นแปลว่าองค์กรไม่สามารถจะลงทุนแค่กับเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ด้วย “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้ทันยุคเพื่อแสวงหาความต้องการของบุคลากร ต้องอ่านข้อมูลและแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง และครบสมบูรณ์” 3. Marketing Expertise จากกระแสโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเข้าใจสถานการณ์และความต้องการขององค์กร เพื่อที่จะคัดสรรและปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดสรรบุคลากรที่จะเข้าร่วมงานกับองค์กรได้อย่างเหมาะสม ต้องดูแลพนักงาน สื่อสารกับพนักงานเปรียบเสมือนลูกค้า เข้าใจ เป็นมิตร ใกล้ชิด เพื่อจะได้ศึกษา รับรู้พฤติกรรม ความต้องการ และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานในการขับเคลื่อนองค์กรตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของการทำงานในรูปแบบเดียวกับที่ฝ่ายการตลาดใช้เครื่องมือมาร์เก็ตติ้งในการดึงดูดลูกค้า “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องขายของให้เป็น” 4. HR Agility สภาวะเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวรุนแรงและรวดเร็ว นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับทุกองค์กร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ในการทำงานหรือสามารถทำงานมากกว่าที่ตนเองรับผิดชอบได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับบุคลากรคนอื่น ๆ เกิดการเรียนรู้และเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้ได้มากที่สุด “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องพร้อมปรับตัว และสร้างความคล่องตัวให้ได้มากที่สุด” จะเห็นได้ว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการติดต่อทั้งภายนอกและภายในองค์กรย่อมต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งติดองค์ความรู้ เสริมทักษะให้ครบเพื่อเป็นขุมพลังสำคัญให้กับองค์กรต่อไป |
| test2 ffff |
| บริหารเวลาง่าย ๆ ด้วย “Eisenhower Box” รอบตัวในการทำงานนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนหลาย ๆ ครั้งเราแทบไม่รู้ว่าเราควรที่จะลงมือแก้ปัญหาจากจุดไหนก่อนดี เพราะหลายครั้งเราไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงมือจัดการปัญหาตามลำดับความสำคัญ เราขอนำเสนอเทคนิคการใช้ “Eisenhower Box” ซึ่งเครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการบริหารเวลาในการทำงานได้อีกด้วย Eisenhower Box หรือ Eisenhower Matrix เป็นแนวคิดของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำเพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของการทำงานผ่านตารางทั้ง 4 ช่อง ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ, งานไม่ด่วนแต่สำคัญ, งานด่วนแต่ไม่สำคัญ ไปจนถึงงานที่ไม่ด่วนและไม่สำคัญ หัวใจหลักของการใช้ Eisenhower Box คือการแยกความหมายระหว่างด่วนกับสำคัญ ให้ออกเพื่อจะได้รู้ว่าหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอยู่ควรจัดการอย่างไร ด่วน คือ สิ่งที่ต้องการความสนใจทันที ต้องใช้เวลาตัดสินใจสั้น สำคัญ คือ สิ่งที่ไม่ต้องรีบแต่ก็ต้องทำสักวันในอนาคต หรืองานที่อาศัยการวิเคราะห์และความละเอียด ทำแล้วมีผลระยะยาว รวมถึงเมื่อทำเสร็จเราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ หวังว่า Eisenhower Box ที่นำมาฝากกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการตารางเวลาการทำงานและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระ และเพิ่มเวลาในชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://leventje.nl/eisenhower-matrix/ https://www.spica.com/blog/the-eisenhower-matrix
|
| 5 วิธี เอาชนะ Monday Blues พรุ่งนี้วันจันทร์!!!
เกลียดวันจัทร์ หรือ Monday Blues เป็นอาการที่แค่นึกถึงวันจันทร์ก็ไม่สบายใจแล้ว มีหลายคนเป็นโรคนี้กันจนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของหลายประเทศไปเลย โรคเกลียดวันจันทร์ ไม่ต้องบำบัด แต่ต้องหาวิธีรับมือ
มาดู 5 วิธีรับมือกับอาการนี้กันดีกว่า
1. รีบเคลียร์งานบ้าน คนทำงานส่วนใหญ่ มักทำงานบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันเสาร์ จะได้ใช้เวลาพักผ่อนแบบเต็มที่ในวันอาทิตย์ ชาร์จพลังให้พร้อมกับมาทำงานอย่างเต็มที่
2. ใช้วันหยุดพักผ่อนให้คุ้มค่าที่สุด บางคนมักจะปล่อยวันหยุดไปกับการนอนตื่นสาย หรือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าในวันหยุดคือ การทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า น่าจดจำ น่าประทับใจ และมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนวันหยุดของเราเอาไว้ ว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น เช่น วางแผนการไปเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ แต่ถ้าไม่อยากออกไปเสี่ยงภายนอกก็อาจจะนัดทานข้าว หรือหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันภายในบ้านก็น่าสนใจค่ะ
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนวันอาทิตย์ การเข้านอนให้เร็วขึ้นในคืนวันอาทิตย์และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหากได้พักผ่อนไม่กี่ชัวโมง แล้วต้องมาตื่นในขณะที่ร่างกายและสมองของคุณยังไม่พร้อม การเริ่มต้นวันจันทร์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หม่นหมอง อารมณ์ไม่ดี หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำงานได้
4. ทำลิสต์สำหรับสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง สาเหตุที่หลายคนรู้สึกไม่ชอบวันจันทร์อาจเพราะว่าอะไรหลาย ๆ อย่างดูเร่งรีบไปหมด จนทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบในการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมีการวางแผนที่ดีจดสิ่งที่ต้องทำหรือเขียนแพลนเนอร์เอาไว้ ในแต่ละวันของสัปดาห์คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือเคลียร์งานอะไรให้เสร็จ เขียนเดดไลน์ให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ง่ายขึ้น
5. หาแรงบันดาลใจ ลองหาแรงบันดาลใจในที่ทำงาน จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และทำให้วันทำงานของคุณกลายเป็นวันดี ๆ
ทั้งหมดนี้คิอ 5 วิธีการรับมือกับอาการเกลียดวันจันทร์ที่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้นลดลงไปได้บ้าง
ขอบคุณที่มา : https://varnam.my/featured/2022/55788/five-things-to-do-to-get-your-sundays-prepped-for-monday/ |