| กุญแจ 4 ดอกเพื่อปลดล็อกศักยภาพในตัวคุณ สมองของคุณเป็นตัวควบคุมทุกอย่าง ดังนั้น เมื่อคุณบริหารสมองให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นก็หมายความว่าคุณมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากสมองเป็นตัวควบคุมตัวคุณ มันเป็นหน่วยสั่งการที่เกี่ยวข้องและควบคุมทุกอย่างที่คุณทำ กำหนดความคิด ความรู้สึก และการกระทำของคุณ การลองให้สมองได้เปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำใหม่ ๆ ก็เหมือนคุณกำลังปลดล๊อกศักยภาพในคุณ จิม โรห์น (Jim Rohn) นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและนักเขียนชาวอเมริกัน เชื่อว่ามนุษย์เรามีศักยภาพอันไรขีดจำกัดและได้แนะนำเคล็ดลับในการปลดล๊อกศักยภาพตัวเอง 4 ข้อ ซึ่งถ้าคุณปลดล๊อกมันได้…คุณจะพัฒนาไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน กุญแจดอกที่ 1 เปลี่ยนความเชื่อของคุณ หลาย ๆ คนไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถเรียนรู้ และเป็นคนที่ “ฉลาด” ได้ เมื่อคุณไม่เชื่อว่าคุณทำได้ คุณก็จะไม่มีวันทำได้ จงปรับเปลี่ยนความเชื่อของคุณซะใหม่ และเมื่อคุณตัดสินใจที่จะเปลี่ยน คุณก็จะได้เปิดโลกใบใหม่และปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้ กุญแจดอกที่ 2 หาความรู้ให้ตรงจุดและถูกต้อง สิ่งที่คอยปิดกั้นคุณจากการเรียนรู้ก็คือการที่คุณไม่เลือกหรือไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ ความรู้มาจากประสบการณ์ หนังสือ ผู้คน และแหล่งให้ความรู้อื่น ๆ เพราะฉะนั้น หาความรู้ให้ตรงจุด! คุณควรหาความรู้ที่เหมาะสมและถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูลหรือความคิดเห็น มันเป็นหน้าที่ของคุณที่จะค้นหาข้อมูลและความรู้ แล้วก็ทดสอบมัน หลังจากนั้นก็ไตร่ตรองให้ดีว่ามันคือความจริงไหม และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตคุณเพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ไหม คุณต้องวัดและตวงหาความจริงจากสิ่งที่คุณเรียนรู้มา และเมื่อคุณทำแบบนั้น คุณก็จะปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้ กุญแจดอกที่ 3 กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ คนบางคนแทบจะไม่มีความสนใจในการเรียนรู้เลย ขี้เกียจ ไม่เห็นข้อดีที่ได้จากการเรียนรู้ ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่ในตัว ดังนั้นคุณจงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ อาจจะหนักหน่อย แต่สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือเริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่มีผลกระทบต่อชีวิตคุณในทันที อาจเริ่มจากหาความรู้เกี่ยวกับการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ มันก็จะช่วยให้คุณสร้างรายได้ และไม่มีหนี้สิน อีกทั้งยังเป็นเหมือนไฟจุดประกายให้คุณก้าวหน้าขึ้นได้ เมื่อคุณมีความรู้เกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในครอบครัวคุณก็จะเหนียวแน่นขึ้น และเป็นแรงกระตุ้นให้คุณฮึดสู้ กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และเมื่อคุณทำแบบนั้น คุณก็จะปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้ กุญแจดอกที่ 4 หมั่นฝึกฝนตนเอง การเพิ่มพูนความรู้อาจหนักหน่อยและต้องใช้เวลา มันคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด คุณจงฝึกฝนตัวเองด้วยความขยันหมั่นเรียนรู้ด้วยความทุ่มเท เพราะไม่มีทางที่ใครจะมานำความรู้ใส่สมองคุณได้อย่างแน่นอน กระบวนการในการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ยาวนานเสมอ จริงอยู่ที่คุณสามารถเร่งให้มันเร็วขึ้นได้ แต่มันก็ยังต้องใช้การอ่าน การฟัง การทบทวน การทำซ้ำ การประยุกต์ การหาประสบการณ์ การแก้ไข และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะทุกความสำเร็จล้วนต้องใช้เวลา ดังนั้นจงอดทน และเมื่อคุณทำแบบนั้นได้ คุณก็จะปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้ สมองของคุณถูกสร้างมาให้เรียนรู้ ไม่มีใครเด็กเกินหรือแก่เกินจะเรียนรู้ มาปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณกันเถอะ! ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.success.com/rohn-4-keys-to-unlock-the-power-of-your-mind/ |
| การประเมินสมรรถนะ (Competency Assessment) สำคัญกับคุณอย่างไร หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “Competency” หรือ “สมรรถนะ” กันมาบ้าง แต่หลายคนก็ยังไม่เข้าใจคำนี้อย่างแท้จริง อันที่จริงแล้วคำนี้มีความสำคัญต่อทุกคน และเป็นสิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องให้ความสำคัญ Competency (สมรรถนะ) มาจากบทความวิชาการของ David C. McClelland นักจิตวิทยา มหาลัยฮาร์วาร์ด Competency หมายถึง บุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในบุคคลแต่ละคน ซึ่งสามารถผลักดันให้บุคคลแต่ละคนนั้น สร้างผลการปฏิบัติงานที่ดีหรือตามเกณฑ์ที่กำหนดในงานที่ตนรับผิดชอบ ปัจจุบันมีลงรายละเอียดคำว่า สมรรถนะ (Competency) คือ กลุ่มของคุณลักษณะใด ๆ ที่อยู่ภายในบุคคล ประกอบด้วย ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) และเจตคติ (Attitudes) ที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งจำเป็นและมีผลทำให้บุคคลนั้นปฎิบัติงานที่อยู่ในความรับผิดชอบได้ดียิ่งขึ้น และเหนือผู้อื่น หรือเหนือกว่าเกณฑ์รวมถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยสมรรถนะนั้นเกิดได้จาก 1. พรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด 2. ประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมา 3. การฝึกอบรมพัฒนาต่าง ๆ ทำไมต้องประเมินสมรรถนะ (Competency Assessment) นั่นเป็นเพราะทุกคนมีความแตกต่างกัน เก่งในสไตล์ของตัวคุณเอง ดังนั้นการประเมินสมรรถนะ (Competency Assessment) จะเป็นการประเมินว่าคุณมีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการปฏิบัติงานให้บรรลุตามที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ ซึ่งการประเมินจะช่วยให้คุณรู้ว่าควรปรับปรุงหรือพัฒนา (Competency Gap) ด้านใดบ้าง และอาจค้นพบสมรรถนะที่ซ่อนอยู่ ที่สามารถสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ในอนาคตได้อีกด้วย สมรรถนะ (Competency) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ขอบคุณที่มาจาก : http://competency.rmutp.ac.th/wp-content/uploads/2011/01/aboutcompetency.pdf |
| ฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก หลาย ๆ คนอาจเคยเจอเหตุการณ์ รู้สึกคุ้น ๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ โดยรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไม่สามารถนึกออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนติดอยู่ตรงปาก อาการแบบนี้เรียกว่า “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น (Tip-of-the-tongue)” เกิดจากสมองไม่สามารถเชื่อมโยงความหมายและเสียงของคำที่ต้องการได้ทั้งหมด ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณไม่ได้ยินหรือพูดคำนั้นเป็นเวลานาน แม้ว่าชื่อนั้นจะฝังอยู่ในความจำระยะยาว (Long-Term Memory) ก็ไม่สามารถดึงความจำออกมาได้ทั้งหมด ทำให้นึกออกเพียงพยางค์หรือตัวอักษรบางตัวเท่านั้น วิธีที่จะทำให้คุณสามารถนึกถึงคำเป้าหมายออกมาได้ คือ ให้พยายามนึกถึงพยัญชนะสำคัญที่พอจะนึกออก แล้วค่อย ๆ นำมาประกอบเป็นคำ ๆ จนกระทั่งสมองของคุณสามารถเชื่อมโยงไปสู่คำที่ถูกต้องได้ ปรากฏการณ์ “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น” ถือเป็นอาการปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกคนเป็นครั้งคราว หรือเกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีอายุมากขึ้น ไม่ใช่อาการผิดปกติอะไรนะทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เรามาฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก กันเถอะ จากรายงานของ Dr. Amishi Jha ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยไมแอมีและผู้แต่งหนังสือเรื่อง “Peak Mind: Find Your Focus, Own Your Attention, Invest 12 Minutes a Day” ได้กล่าวไว้ว่า การที่คนเราจะจดจำอะไรบางอย่างได้ดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง นั่นก็คือ 1. การฝึกฝน (Rehearsal) : การพยายามนึกถึงความสนใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วพยายามดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น การเล่นทายคำกับเพื่อน ๆ ว่าท่าทางที่เพื่อนทำนั้นคืออะไรนั่นเอง 2. การขยายความ (Elaboration) : การนำประสบการณ์ หรือความรู้เดิมที่มีอยู่ไปเชื่อมต่อกับความสนใจที่มีต่อสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้จดจำสิ่งใหม่ ๆ แล้วยังช่วยให้จดจำได้ดียิ่งขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น เพื่อนบอกให้คุณนึกถึงภาพนกฟลามิงโก้ และเพื่อนก็บอกคุณอีกว่า รู้ไหมว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัวตลอดเลยนะ จะเห็นได้ว่าตอนแรกคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ตอนนี้คุณก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้เพิ่มมากขึ้น กระบวนการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้คือ การที่คุณนำความรู้ที่มีอยู่มาเชื่อมต่อกับความรู้ใหม่ ทำให้คุณจดจำสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณบังเอิญเห็นนกฟลามิงโก้ คุณก็อาจนึกขึ้นมาได้ว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัว 3. การรวบรวม (Consolidation) : ทั้งสองกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นกระบวนการที่ช่วยสนับสนุนการสร้างหน่วยความจำเริ่มต้น แต่หากคุณต้องการเปลี่ยนจากระยะเริ่มต้น คุณต้องพยายามนึกซ้ำ ทำซ้ำ หลาย ๆ ครั้ง โดยโฟกัสที่กิจกรรมเหล่านั้น เพื่อให้สามารถจดจำได้แม่นมากขึ้น การนึกซ้ำ ๆ ทำซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดเป็นความจำระยะยาวที่แข็งแกร่งขึ้น อีกหนึ่งวิธีเบสิคที่ดี และทำได้ง่าย ๆ ก็คือการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้มาก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีดีต่อสมองของคุณเช่นกัน และนี่ก็คือการฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก ใครนําไปใช้และได้ผลก็อย่าลืมคอมเมนต์ด้านล่างเพื่อบอกกันบ้างนะ
ขอบคุณที่มาจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Tip_of_the_tongue#:~:text=Tip of the tongue (also,feeling that retrieval is imminent. https://www.cnbc.com/2022/01/01/a-neuroscientist-shares-the-3-step-brain-exercise-she-does-for-a-stronger-and-healthier-memory.html |
| เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่สมดุล ด้วยสูตร “8:8:8" เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หลายคนมักบ่นว่าไม่มีเวลา! ทำงานไม่ทัน! มาบริการจัดการเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่งานเพียงอย่างเดียว มาแบ่งเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักด้วยสูตร “8:8:8” กัน สูตร “8:8:8” เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบริ์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน สูตร “8:8:8” เป็นการแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของ 1 วัน ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันคือ 8 ชั่วโมงแรก: อยู่กับงานให้เต็มที่ (Work Smart) เป็นช่วงเวลาที่เราใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งในแต่ละวันเราควรตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ควรหาเวลาพักเบรกระหว่างทำงานด้วย เช่น 1 ชั่วโมง พัก 5 นาที ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่น ฟังเพลง เพื่อลดความเครียดในการทำงาน 8 ชั่วโมงที่สอง: ดูแลตัวเองและครอบครัว (Quality Time) เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของตนเอง พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อฝูง หรือทำงานอดิเรก 8 ชั่วโมงที่สาม: พักผ่อนให้เพียงพอ (Live Well) เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนและการนอน เพราะสุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง การนอนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งในแง่ของการฟื้นฟูพละกำลัง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของฮอร์โมนที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย และยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับอีกด้วย สูตรการบริหารเวลา “8:8:8” จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาในด้านต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถที่จะยืดหยุ่นเวลาได้ตามไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งทางที่ดีที่สุดควรให้แต่ละด้านมีเวลาเท่า ๆ กัน และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ชีวิตของเราก็จะสมดุล |
| 7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย 91% ของยอดขายทั่วโลกทำผ่านโทรศัพท์ 80% ของรายได้บริษัทมาจากฝ่ายขาย ในแต่ละปีบริษัทมักสูญเสียลูกค้า 10%-30% มีเพียง 2% ของยอดขายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพบผู้มุ่งหวังครั้งแรก 18% ของยอดขายมักล้มเหลวในขั้นตอนปิดการขาย 47% ของลูกค้าเคยซื้อผลิตภัณฑ์/บริการแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบริการจากผู้ขายที่ไม่ดี 63% ของผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์/บริการจะไม่ซื้ออย่างน้อย 3 เดือน 20% ของผู้มุ่งหวังจะใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการซื้อหลังจากการติดต่อครั้งแรก! มีเพียง 20% ของผู้มุ่งหวังที่ได้รับการโทรติดตาม ส่วนอีก 80% หายไป
7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย 1. การเตรียมข้อมูลก่อนพบลูกค้า ก่อนที่จะเข้าพบลูกค้า เราจะต้องทำค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้า ธุรกิจของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ที่หามาได้จัดทำเป็นแผนการดำเนินงานในการเข้าพบลูกค้า 2. การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า/ผู้มุ่งหวัง การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีจะสร้างความผูกพันระยะยาวกับลูกค้าให้อยู่กับเรา ลูกค้าที่รักเราเป็นเสมือนกระบอกเสียงด้านบวกให้กับสินค้า/บริการ เป็นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร 3. การนำเสนอข้อมูลบริษัท การแนะนำตนเองและนำเสนอข้อมูลบริษัทให้ดูดี เป็นที่น่าจดจำ ย่อมทำให้ความรู้สึกของลูกค้านั้นเป็นบวก 4. การนำเสนอที่สร้างความเชื่อมั่น คล้อยตาม การนำเสนอที่ทำให้ลูกค้ารู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้า/การบริการ ผลประโยชน์ และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่จะได้รับ เป็นการนำเสนอที่สามารถสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ และสามารถเปลี่ยนภาพของเราจากพนักงานขายไปเป็นที่ปรึกษาที่นั่งในใจลูกค้าได้ 5. การเปิด-ปิดการขาย การเปิดการขายเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะถ้าเริ่มต้นไม่ดี ก็จบเห่ ฉะนั้น การเปิดการขายสำคัญพอ ๆ กับการปิดการขาย 6. การเล่าเรื่อง การเล่าเหมือนนิทานหรือนิยาย จะสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ฟังสนใจ และจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี การเล่าเรื่องเป็นอีกทักษะที่สำคัญเพื่อใช้ในการช่วยการนำเสนอเลยก็ว่าได้ 7. การท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น พนักงานขายจำเป็นต้องมีความท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น โดยตั้งจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ หลักสูตร : C0010 เทคนิคปิดการขายทันใจ กำไรทะลุเป้า (Sales Techniques) |
| กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง การพรีเซนต์งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะต่อให้คุณทำงานดีแค่ไหนแต่ไม่สามารถอธิบายหรือพรีเซนต์ให้หัวหน้าฟังหรือลูกค้ารู้ได้ว่าโปรเจคนี้เป็นอย่างไร ก็เป็นอันจบ! แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณพรีเซนต์ออกมาอย่างมือโปร ได้ใจทั้งหัวหน้าและลูกค้า วันนี้ WISIMO มีเคล็บลับ “กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง” มาฝากทุกคน มารู้จักกฎ “กฎ 10 นาที” กันก่อน เคยสังเกตรึเปล่า ว่าทุกครั้งที่นั่งประชุม หรือฟังการพรีเซนต์ คุณจะตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือเริ่มอยากจะวาดรูปเล่น จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา เรื่องระดับความสนใจของผู้ฟังกับระยะเวลาในการนำเสนอ ของ Antony Jay and Ros Jay ในปี 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการนำเสนอที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย ซึ่งสอดคล้องกับ John Medina นักอณูชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ ว่าเกิดจากนาฬิกาในร่างกายของเรา ที่กำหนดให้เรามีสมาธิเต็มที่ ได้ไม่เกิน 10 นาที จากนั้น ระดับความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้นำเสนอที่ดีจะต้องไม่ปล่อยให้กราฟความสนใจของผู้ฟังเกิดขึ้นแบบนี้ แต่จะต้องทำยังไง เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้ได้ มาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้ 10 นาทีนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน 1. กำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ก่อนการนำเสนอ ก่อนจะพรีเซนต์งานทุกครั้งคุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน วิเคราะห์เนื้อหาโดยการย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น และวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อสร้างสื่อและวิธีนำเสนอที่เหมาะสม 2. วางโครงสร้างเนื้อหา การวางโครงสร้างเนื้อหาสามารถแบ่งอออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนเกริ่นนำ (Opening) ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณจะต้องเปิดให้ดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวคุณ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น เน้นติดตาม ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ฟังได้ทราบ แต่คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และส่วนสรุป (Closing) ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะสร้างความจดจำ เน้นย้ำให้เห็นด้วย หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง ในการวางโครงสร้างเนื้อหาคุณอาจนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ร่วมด้วย เพราะการพรีเซนต์งานด้วยข้อมูลหนัก ๆ หรืออัดแน่นด้วยตัวเลขทางสถิติอาจทำให้คุณดูมีความรู้ มีการเตรียมการมาอย่างดี แต่จะไม่มีใครจำในสิ่งที่คุณพูดได้ ในทางกลับกันการบอกเล่าเรื่องราวโดยการสื่อด้วยน้ำเสียงที่เข้าถึงอารมณ์ด้วยการเล่าเรื่องหรือการยกตัวอย่างง่าย ๆ จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและจดจำได้ดีกว่า แต่ต้องเล่าให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น ถ้าออกทะเลเมื่อไหร่ผู้ฟังก็อาจจะออกจากห้องไปด้วยเช่นกัน เมื่อคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีเนื้อหาที่ย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น มีวิเคราะห์ผู้ฟัง และมีการวางโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ก็ลองนำ “กฎ 10 นาที” มาปรับใช้กับการ พรีเซนต์งานของคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนไม่ควรพูดนานเกิน 10 นาที จากนั้นอาจเว้นด้วยการให้รับชมภาพประกอบ หรือวีดีโอ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาในส่วนถัดไป สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวช่วยให้คุณมีความกล้าพูดและพรีเซนท์งานไม่ติดขัดก็คือ “การซ้อมพูด” ไปก่อนนั่นเอง คนไหนที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหัวหน้าหรือลูกค้า ลองซ้อมพูดหน้ากระจก หรือจำลองสถานการณ์ว่าตอนนี้คุณกำลังนำเสนองานอยู่ดู การเตรียมความพร้อมในการนำเสนอไปนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณลดความประหม่าลงได้แล้ว ยังทำให้คุณแก้ไขเนื้อหาและสไตล์การพูดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย และทั้งหมดนี้คือ “กฎ 10 นาที” ที่จะช่วยให้คุณพรีเซนต์งานให้ปัง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65001 ทักษะการนำเสนอสู่ความสำเร็จ (Presentation Skills)
|
| test2 ffff |
| บริหารเวลาง่าย ๆ ด้วย “Eisenhower Box” รอบตัวในการทำงานนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนหลาย ๆ ครั้งเราแทบไม่รู้ว่าเราควรที่จะลงมือแก้ปัญหาจากจุดไหนก่อนดี เพราะหลายครั้งเราไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงมือจัดการปัญหาตามลำดับความสำคัญ เราขอนำเสนอเทคนิคการใช้ “Eisenhower Box” ซึ่งเครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการบริหารเวลาในการทำงานได้อีกด้วย Eisenhower Box หรือ Eisenhower Matrix เป็นแนวคิดของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำเพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของการทำงานผ่านตารางทั้ง 4 ช่อง ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ, งานไม่ด่วนแต่สำคัญ, งานด่วนแต่ไม่สำคัญ ไปจนถึงงานที่ไม่ด่วนและไม่สำคัญ หัวใจหลักของการใช้ Eisenhower Box คือการแยกความหมายระหว่างด่วนกับสำคัญ ให้ออกเพื่อจะได้รู้ว่าหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอยู่ควรจัดการอย่างไร ด่วน คือ สิ่งที่ต้องการความสนใจทันที ต้องใช้เวลาตัดสินใจสั้น สำคัญ คือ สิ่งที่ไม่ต้องรีบแต่ก็ต้องทำสักวันในอนาคต หรืองานที่อาศัยการวิเคราะห์และความละเอียด ทำแล้วมีผลระยะยาว รวมถึงเมื่อทำเสร็จเราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ หวังว่า Eisenhower Box ที่นำมาฝากกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการตารางเวลาการทำงานและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระ และเพิ่มเวลาในชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก : https://leventje.nl/eisenhower-matrix/ https://www.spica.com/blog/the-eisenhower-matrix
|
| 5 วิธี เอาชนะ Monday Blues พรุ่งนี้วันจันทร์!!!
เกลียดวันจัทร์ หรือ Monday Blues เป็นอาการที่แค่นึกถึงวันจันทร์ก็ไม่สบายใจแล้ว มีหลายคนเป็นโรคนี้กันจนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของหลายประเทศไปเลย โรคเกลียดวันจันทร์ ไม่ต้องบำบัด แต่ต้องหาวิธีรับมือ
มาดู 5 วิธีรับมือกับอาการนี้กันดีกว่า
1. รีบเคลียร์งานบ้าน คนทำงานส่วนใหญ่ มักทำงานบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันเสาร์ จะได้ใช้เวลาพักผ่อนแบบเต็มที่ในวันอาทิตย์ ชาร์จพลังให้พร้อมกับมาทำงานอย่างเต็มที่
2. ใช้วันหยุดพักผ่อนให้คุ้มค่าที่สุด บางคนมักจะปล่อยวันหยุดไปกับการนอนตื่นสาย หรือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าในวันหยุดคือ การทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า น่าจดจำ น่าประทับใจ และมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนวันหยุดของเราเอาไว้ ว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น เช่น วางแผนการไปเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ แต่ถ้าไม่อยากออกไปเสี่ยงภายนอกก็อาจจะนัดทานข้าว หรือหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันภายในบ้านก็น่าสนใจค่ะ
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนวันอาทิตย์ การเข้านอนให้เร็วขึ้นในคืนวันอาทิตย์และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหากได้พักผ่อนไม่กี่ชัวโมง แล้วต้องมาตื่นในขณะที่ร่างกายและสมองของคุณยังไม่พร้อม การเริ่มต้นวันจันทร์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หม่นหมอง อารมณ์ไม่ดี หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำงานได้
4. ทำลิสต์สำหรับสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง สาเหตุที่หลายคนรู้สึกไม่ชอบวันจันทร์อาจเพราะว่าอะไรหลาย ๆ อย่างดูเร่งรีบไปหมด จนทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบในการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมีการวางแผนที่ดีจดสิ่งที่ต้องทำหรือเขียนแพลนเนอร์เอาไว้ ในแต่ละวันของสัปดาห์คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือเคลียร์งานอะไรให้เสร็จ เขียนเดดไลน์ให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ง่ายขึ้น
5. หาแรงบันดาลใจ ลองหาแรงบันดาลใจในที่ทำงาน จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และทำให้วันทำงานของคุณกลายเป็นวันดี ๆ
ทั้งหมดนี้คิอ 5 วิธีการรับมือกับอาการเกลียดวันจันทร์ที่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้นลดลงไปได้บ้าง
ขอบคุณที่มา : https://varnam.my/featured/2022/55788/five-things-to-do-to-get-your-sundays-prepped-for-monday/ |