HIGHLIGHT ACTIVITIES




MY COURSE คอร์สล่าสุด VIEW ALL
FAVORITE COURSE คอร์สโปรด VIEW ALL
NEW COURSE คอร์สใหม่ VIEW ALL
การตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้ใช้งานระบบและผู้ดูแลระบบ

วัตถุประสงค์ 1. มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ IT อย่างถูกต้องปลอดภัย 2. มีความรู้ความเข้าใจในภัยคุกคามต่าง ๆ ในโลกของเทคโนโลยี 3. มีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. มีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่ของตนเองในการใช้งานเทคโนโลยี

การสร้าง Visual Report By Power BI Desktop

"Microsoft Power BI Desktop เป็นโปรแกรมจาก Microsoft ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ หรือช่วยสรุปผลข้อมูลจำนวนมากได้ไม่จำกัด จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Excel File, Microsoft Access Database, SQL Server เป็นต้น และสามารถสร้างรูปแบบรายงานเชิงวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพหรือ Business Intelligence (BI) ที่เหมาะสำหรับนำมาสร้างรายงานในรูปแบบ Interactive ได้อย่างรวดเร็ว Power BI Desktop นั้นมีรูปแบบการนำเสนอข้อมูลของกราฟให้เลือกมากมาย สามารถนำไปใช้งานได้ในรูปแบบ Real Time โดยแสดงผลผ่านเว็บไซต์ และอุปกรณ์ Mobile หรือ Tablet ได้อีกด้วยทำให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมในการวางแผนการทำงาน หรือกำหนดกลยุทธ์ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในทางธุรกิจทำให้คุณนำเสนอได้อย่างมืออาชีพ

สร้างงานนำเสนอให้โดนใจหัวหน้างาน (Excel : PivotTable and PivotChart)

สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากด้วย PivotTable ซึ่งได้เจาะลึกการใช้เครื่องมือที่มีใน Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดเรียง (Sort) การใช้ฟิลเตอร์ (Filter) ในการกรองข้อมูล การสรุปข้อมูลแบบมีเงื่อนไข (Conditional Formatting) การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบแผนภูมิ (Charts) การสรุปข้อมูล (PivotTable) และตัวอย่างการใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์ข้อมูล อันเป็นพื้นฐานแนวความคิดและความรู้ในการพัฒนาและออกแบบฐานข้อมูลทางธุรกิจ พร้อมวิธีการปรับแต่งตาราง PivotTable และ PivotChart ให้เหมาะสมกับประเภทงานที่ต้องการนำเสนอ


Recommend โพสต์แนะนำ VIEW ALL

7Q ที่องค์กรต้องการ

ในอดีตองค์กรมักให้ความสำคัญกับคนเก่งหรือคนที่มี  IQ  สูง (ฉลาดทางสติปัญญา) แต่หากเราดูองค์ประกอบโดยรอบแล้ว อาจมีทักษะหรือความสามารถในด้านอื่น ๆ ที่องค์กรต้องการด้วย การรับพนักงานจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความเก่งฉลาดทางด้านสติปัญญาหรือที่เราเรียกว่า IQ (Intelligence Quotient) เท่านั้น แต่ยังมีด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก ไปดูกัน 

IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางสติปัญญา : การมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การคำนวณ การใช้เหตุผล การเชื่อมโยง มีไหวพริบ และมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา 

EQ (Emotion Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ : การมีความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มองโลกในแง่ดี เห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตนเอง 

CQ (Creative Quotient) ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ : การมีความสามารถในการคิด จินตนาการหรือมีแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเฟ้นหาพนักงานที่มี Creativity สูง เพื่อสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ให้กับองค์กร คนที่มีจินตนาการสูง และสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ งานด้านโฆษณา หรือในแง่ธุรกิจ คนที่มี CQ สูงเป็นที่ต้องการในทุกองค์กร

MQ (Moral Quotient) ความฉลาดทางศีลธรรม : การมีความประพฤติดี รู้จักรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีจริยธรรม การที่พนักงานมี IQ ดี EQ สูง แต่ถ้ามีระดับ MQ ต่ำก็อาจใช้ความฉลาดไปในทางที่ไม่ถูกต้องก็เป็นไปได้ MQ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กร

PQ (Physical Quotient) ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น/ทำกิจกรรม : การมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง การที่มีร่างกายที่แข็งแรง ก็เป็นพื้นฐานที่ดีในการทำงาน หากร่างกายไม่พร้อมก็คงไม่สามารถทำงานได้ PQ จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

AQ (Adversity Quotient) ความฉลาดในการแก้ปัญหา : การมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวในการเผชิญปัญหาได้ดี และพยายาม เอาชนะอุปสรรคความยากลำบากด้วยตัวเอง ไม่ย่อท้อง่าย ๆ มองปัญหาให้เป็นเรื่องที่ท้าทาย AQ ถือเป็นทักษะสำคัญในการทำงานที่พนักงานต้องมี

SQ (Social Quotient) ความฉลาดทางสังคม : การมีความสามารถในการเข้าสังคมและเข้ากับผู้อื่นได้ดี คนที่มี SQ สูง จะมีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นมิตร รวมถึงมีทักษะด้านการตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์ มีความจงรักภักดี สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็น ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่สามารถปรับใช้ในการทำงานแล้วดีจริง ๆ 

ทั้งหมดนี้คือ 7Q ที่องค์กรต้องการ เชื่อว่าองค์กรที่มีครบทั้ง 7Q จะเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง มีพนักงานที่ทั้งเก่งและดีรอบด้าน

 

ขอบคุณที่มาจาก : 

https://www.atlassian.com/blog/productivity/types-of-intelligence

https://www.homeolife.in/four-types-of-intelligence/

http://wisdomspringstraining.com/the-quotients-of-life/blog/


กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง

การพรีเซนต์งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะต่อให้คุณทำงานดีแค่ไหนแต่ไม่สามารถอธิบายหรือพรีเซนต์ให้หัวหน้าฟังหรือลูกค้ารู้ได้ว่าโปรเจคนี้เป็นอย่างไร ก็เป็นอันจบ!

แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณพรีเซนต์ออกมาอย่างมือโปร ได้ใจทั้งหัวหน้าและลูกค้า

วันนี้ WISIMO มีเคล็บลับ “กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง” มาฝากทุกคน

มารู้จักกฎ “กฎ 10 นาที” กันก่อน

เคยสังเกตรึเปล่า ว่าทุกครั้งที่นั่งประชุม หรือฟังการพรีเซนต์ คุณจะตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือเริ่มอยากจะวาดรูปเล่น 

จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา เรื่องระดับความสนใจของผู้ฟังกับระยะเวลาในการนำเสนอ ของ Antony Jay and Ros Jay ในปี 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการนำเสนอที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง

หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย

ซึ่งสอดคล้องกับ John Medina นักอณูชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ ว่าเกิดจากนาฬิกาในร่างกายของเรา ที่กำหนดให้เรามีสมาธิเต็มที่ ได้ไม่เกิน 10 นาที จากนั้น ระดับความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ผู้นำเสนอที่ดีจะต้องไม่ปล่อยให้กราฟความสนใจของผู้ฟังเกิดขึ้นแบบนี้ แต่จะต้องทำยังไง เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้ได้

มาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้ 10 นาทีนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน

1. กำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ก่อนการนำเสนอ

ก่อนจะพรีเซนต์งานทุกครั้งคุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน วิเคราะห์เนื้อหาโดยการย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น และวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อสร้างสื่อและวิธีนำเสนอที่เหมาะสม

2. วางโครงสร้างเนื้อหา 

การวางโครงสร้างเนื้อหาสามารถแบ่งอออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนเกริ่นนำ (Opening) ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณจะต้องเปิดให้ดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวคุณ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น เน้นติดตาม ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ฟังได้ทราบ แต่คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และส่วนสรุป (Closing) ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะสร้างความจดจำ เน้นย้ำให้เห็นด้วย หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง

ในการวางโครงสร้างเนื้อหาคุณอาจนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ร่วมด้วย เพราะการพรีเซนต์งานด้วยข้อมูลหนัก ๆ หรืออัดแน่นด้วยตัวเลขทางสถิติอาจทำให้คุณดูมีความรู้ มีการเตรียมการมาอย่างดี แต่จะไม่มีใครจำในสิ่งที่คุณพูดได้ ในทางกลับกันการบอกเล่าเรื่องราวโดยการสื่อด้วยน้ำเสียงที่เข้าถึงอารมณ์ด้วยการเล่าเรื่องหรือการยกตัวอย่างง่าย ๆ จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและจดจำได้ดีกว่า แต่ต้องเล่าให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น ถ้าออกทะเลเมื่อไหร่ผู้ฟังก็อาจจะออกจากห้องไปด้วยเช่นกัน 

เมื่อคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีเนื้อหาที่ย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น มีวิเคราะห์ผู้ฟัง และมีการวางโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ก็ลองนำ “กฎ 10 นาที” มาปรับใช้กับการ    พรีเซนต์งานของคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนไม่ควรพูดนานเกิน 10 นาที จากนั้นอาจเว้นด้วยการให้รับชมภาพประกอบ หรือวีดีโอ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาในส่วนถัดไป

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวช่วยให้คุณมีความกล้าพูดและพรีเซนท์งานไม่ติดขัดก็คือ “การซ้อมพูด” ไปก่อนนั่นเอง คนไหนที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหัวหน้าหรือลูกค้า ลองซ้อมพูดหน้ากระจก หรือจำลองสถานการณ์ว่าตอนนี้คุณกำลังนำเสนองานอยู่ดู การเตรียมความพร้อมในการนำเสนอไปนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณลดความประหม่าลงได้แล้ว ยังทำให้คุณแก้ไขเนื้อหาและสไตล์การพูดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือ “กฎ 10 นาที” ที่จะช่วยให้คุณพรีเซนต์งานให้ปัง 

 

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65001 ทักษะการนำเสนอสู่ความสำเร็จ (Presentation Skills)

 

 


10 สมรรถนะที่ควรมี ทำงานที่ไหนก็ปัง

ในการทำงานนอกจาก Skill หรือทักษะในวิชาชีพของตนเองแล้ว ยังมีอีก 10 สมรรถนะที่จะทำให้การทำงานของเรานั้นโดดเด่นไม่แพ้ใครในองค์กร สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการทำงานที่ว่านั้น ได้แก่

สมรรถนะที่ 1 ความสามารถในการจัดการปัญหาบนฐานการคิด (Thinking-based solution – TBS) 

ความสามารถในการประยุกต์ใช้วิธีคิดอย่างเป็นระบบเพื่อตีความและทำความเข้าใจข้อมูล/สถานการณ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงแนวคิดหรือข้อมูลในวิถีทางใหม่ๆ หรือการเชื่อมโยงไปกับสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือคุ้นเคยเลยเพื่อสร้างไอเดียใหม่หรือการทำงานรูปแบบใหม่ อันจะเป็นการพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานได้

สมรรถนะที่ 2 ความสามารถในการระบุโอกาสที่สร้างคุณค่าให้กับองค์กร (Spotting opportunities for Valuing Ideas – SPOP)

ความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมิน และระบุโอกาสทางธุรกิจ โดยมุ่งเป้าบนความท้าทายในการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรขององค์กรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถวิเคราะห์และนำเสนอคุณค่าทางธุรกิจที่สามารถรับมือกับทิศทางการเปลี่ยนแปลง ความท้าทายของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ตลอดจนสภาพปัญหาและความต้องการของตลาดและกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นลูกค้า

สมรรถนะที่ 3 ความสามารถในการมีอิทธิพลทางความคิด (Influencing and leading to goals – ILG)

ความสามารถในการสื่อสารเพื่อจูงใจและมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น อันจะเป็นการนำพาไปสู่เป้าหมายทางการสื่อสารที่ต้องการ ผ่านการใช้ทักษะการจูงใจเพื่อเปลี่ยนจากคนที่ไม่รู้จักมาเป็นคนรู้จัก ช่วยเหลือ หรือขับเคลื่อนเป้าหมายขององค์กร และใช้ทักษะการสื่อสารแบบมีเป้าหมายเพื่อสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนสามารถประเมินและส่งเสริมการทำงานของทีมเพื่อตอบสนองความสำเร็จตามเป้าหมายของงาน/องค์กรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

สมรรถนะที่ 4 ความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ทีไม่แน่นอน (Dealing with risk and ambiguity – DRAB)

ความสามารถในการรับมือภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน คลุมเครือและมีความเสี่ยงในการทำธุรกิจ และสามารถยืนหยัดที่จะเดินหน้าเพื่อความสำเร็จขององค์กรเป็นสำคัญ

 

สมรรถนะที่ 5 ความตั้งใจใฝ่รู้เพื่อการพัฒนางาน (Willingness to Learn – WLL) 

ความสามารถในการแสวงหาโอกาสที่จะเพิ่มพูนความรู้และทักษะของตนเองอย่างต่อเนื่อง และเข้าถึงความรู้หรือทักษะใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตนเองในการก้าวสู่ความสำเร็จในอาชีพ สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ตลอดจนช่วยเหลือผู้อื่นในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเพื่อสร้างความสำเร็จตามเป้าหมายในการทำงานเพื่อความสำเร็จขององค์กร

สมรรถนะที่ 6 ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว (Flexibility & Adaptability Behavior – FLAD)

ความสามารถในการทำงานกับคนที่มีความหลากหลาย โดยเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง ข้อตกลงและความสนใจของกลุ่มคนทำงานที่แตกต่างกันได้ รวมทั้งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของวิทยาการใหม่ๆ และสามารถนำสิ่งใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อตอบสนองเป้าหมายขององค์กรได้และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

สมรรถนะที่ 7 ความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility – SCR) 

บุคคลต้องมีความตระหนักในการกระทำของตนที่ส่งผลต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานที่ตอบสนองต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้

สมรรถนะที่ 8 ความฉลาดรู้ทางสารสนเทศ (Information literacy – INFOL)

ความสามารถในการอ่านข้อมูลเชิงสารสนเทศ การทำความเข้าใจความหมายของข้อมูล การทำงานกับข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการนำข้อมูลเชิงสารสนเทศ ไปใช้ประโยชน์ในองค์กรธุรกิจ

สมรรถนะที่ 9 ความฉลาดรู้ทางดิจิทัล (Digital literacy – DGTL)  

ความสามารถในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เพื่อสร้าง ประเมิน และแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด

สมรรถนะที่ 10 การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างชาญฉลาด (Interpersonal savvy – IPS)

ความสามารถในการจัดการอารมณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ตระหนักถึงคุณค่าของทีมงาน และรู้จักใช้ความสามารถในการเข้าใจคนอื่นเพื่อแสดงออกหรือสื่อสารประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนเมื่อเข้าไปอยู่สถานการณ์ต่าง ๆ ในสังคมหรือกลุ่มคนก็จะสามารถสร้างความประทับใจและเอาตัวรอดได้อย่างกลมกลืนหรือรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มได้อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามมาก

 

สมรรถนะคือสิ่งที่ฝึกฝนได้ ยิ่งฝึกฝนเป็นประจำ ก็จะก่อให้เกิดความชำนาญและสามารถนำมาใช้ในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าสมรรถนะทั้ง 10 ด้าน ที่เรานำมาฝากนี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมั่นใจ สามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างลงตัวและมีความสุข

Popular โพสต์สำคัญ VIEW ALL

เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่สมดุล ด้วยสูตร “8:8:8"

เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หลายคนมักบ่นว่าไม่มีเวลา! ทำงานไม่ทัน! มาบริการจัดการเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่งานเพียงอย่างเดียว มาแบ่งเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักด้วยสูตร “8:8:8” กัน

สูตร “8:8:8” เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบริ์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน

สูตร “8:8:8” เป็นการแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของ 1 วัน ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันคือ

8 ชั่วโมงแรก: อยู่กับงานให้เต็มที่ (Work Smart) เป็นช่วงเวลาที่เราใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งในแต่ละวันเราควรตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ควรหาเวลาพักเบรกระหว่างทำงานด้วย เช่น 1 ชั่วโมง พัก 5 นาที ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่น ฟังเพลง เพื่อลดความเครียดในการทำงาน

8 ชั่วโมงที่สอง: ดูแลตัวเองและครอบครัว (Quality Time) เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของตนเอง พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อฝูง หรือทำงานอดิเรก

8 ชั่วโมงที่สาม: พักผ่อนให้เพียงพอ (Live Well) เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนและการนอน เพราะสุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง การนอนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งในแง่ของการฟื้นฟูพละกำลัง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของฮอร์โมนที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย และยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับอีกด้วย

สูตรการบริหารเวลา “8:8:8” จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาในด้านต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถที่จะยืดหยุ่นเวลาได้ตามไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งทางที่ดีที่สุดควรให้แต่ละด้านมีเวลาเท่า ๆ กัน และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ชีวิตของเราก็จะสมดุล


กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง

การพรีเซนต์งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะต่อให้คุณทำงานดีแค่ไหนแต่ไม่สามารถอธิบายหรือพรีเซนต์ให้หัวหน้าฟังหรือลูกค้ารู้ได้ว่าโปรเจคนี้เป็นอย่างไร ก็เป็นอันจบ!

แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณพรีเซนต์ออกมาอย่างมือโปร ได้ใจทั้งหัวหน้าและลูกค้า

วันนี้ WISIMO มีเคล็บลับ “กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง” มาฝากทุกคน

มารู้จักกฎ “กฎ 10 นาที” กันก่อน

เคยสังเกตรึเปล่า ว่าทุกครั้งที่นั่งประชุม หรือฟังการพรีเซนต์ คุณจะตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือเริ่มอยากจะวาดรูปเล่น 

จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา เรื่องระดับความสนใจของผู้ฟังกับระยะเวลาในการนำเสนอ ของ Antony Jay and Ros Jay ในปี 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการนำเสนอที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง

หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย

ซึ่งสอดคล้องกับ John Medina นักอณูชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ ว่าเกิดจากนาฬิกาในร่างกายของเรา ที่กำหนดให้เรามีสมาธิเต็มที่ ได้ไม่เกิน 10 นาที จากนั้น ระดับความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ผู้นำเสนอที่ดีจะต้องไม่ปล่อยให้กราฟความสนใจของผู้ฟังเกิดขึ้นแบบนี้ แต่จะต้องทำยังไง เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้ได้

มาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้ 10 นาทีนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน

1. กำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ก่อนการนำเสนอ

ก่อนจะพรีเซนต์งานทุกครั้งคุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน วิเคราะห์เนื้อหาโดยการย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น และวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อสร้างสื่อและวิธีนำเสนอที่เหมาะสม

2. วางโครงสร้างเนื้อหา 

การวางโครงสร้างเนื้อหาสามารถแบ่งอออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนเกริ่นนำ (Opening) ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณจะต้องเปิดให้ดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวคุณ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น เน้นติดตาม ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ฟังได้ทราบ แต่คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และส่วนสรุป (Closing) ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะสร้างความจดจำ เน้นย้ำให้เห็นด้วย หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง

ในการวางโครงสร้างเนื้อหาคุณอาจนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ร่วมด้วย เพราะการพรีเซนต์งานด้วยข้อมูลหนัก ๆ หรืออัดแน่นด้วยตัวเลขทางสถิติอาจทำให้คุณดูมีความรู้ มีการเตรียมการมาอย่างดี แต่จะไม่มีใครจำในสิ่งที่คุณพูดได้ ในทางกลับกันการบอกเล่าเรื่องราวโดยการสื่อด้วยน้ำเสียงที่เข้าถึงอารมณ์ด้วยการเล่าเรื่องหรือการยกตัวอย่างง่าย ๆ จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและจดจำได้ดีกว่า แต่ต้องเล่าให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น ถ้าออกทะเลเมื่อไหร่ผู้ฟังก็อาจจะออกจากห้องไปด้วยเช่นกัน 

เมื่อคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีเนื้อหาที่ย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น มีวิเคราะห์ผู้ฟัง และมีการวางโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ก็ลองนำ “กฎ 10 นาที” มาปรับใช้กับการ    พรีเซนต์งานของคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนไม่ควรพูดนานเกิน 10 นาที จากนั้นอาจเว้นด้วยการให้รับชมภาพประกอบ หรือวีดีโอ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาในส่วนถัดไป

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวช่วยให้คุณมีความกล้าพูดและพรีเซนท์งานไม่ติดขัดก็คือ “การซ้อมพูด” ไปก่อนนั่นเอง คนไหนที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหัวหน้าหรือลูกค้า ลองซ้อมพูดหน้ากระจก หรือจำลองสถานการณ์ว่าตอนนี้คุณกำลังนำเสนองานอยู่ดู การเตรียมความพร้อมในการนำเสนอไปนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณลดความประหม่าลงได้แล้ว ยังทำให้คุณแก้ไขเนื้อหาและสไตล์การพูดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือ “กฎ 10 นาที” ที่จะช่วยให้คุณพรีเซนต์งานให้ปัง 

 

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65001 ทักษะการนำเสนอสู่ความสำเร็จ (Presentation Skills)

 

 


HR 4.0 กับความท้าทายที่ต้องเรียนรู้

หลายคนต้องเคยได้ยินมาแล้วว่า ในโลกยุค Disruptive World จะมีคนจำนวนมากที่ถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ในการทำงาน หลาย ๆ อาชีพจะหมดไป ตัวอย่างเช่น อาลีบาบา (Alibaba)เริ่มมีการพัฒนาและทดลองระบบสมองกล Artificial Intelligence (AI) ในวงการแพทย์

ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ถึงเวลาที่ต้องเพิ่มศักยภาพและใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาผู้นำ และผู้บริหารระดับสูง เปิดเผยว่า หากเปรียบเทียบการทำการศึก “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล” (Human Resources) เป็นเหมือนแม่ทัพเงาขององค์กร  ที่ต้งเก่งทั้งบุ๋น และบู๊ เพราะเป็นหน้าด่านสำคัญในการสรรหาบุคคลากรเข้าสู่องค์กร

ดังนั้น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค 4.0 ให้ทันท่วงที ต้องเสริมศักยภาพใหม่ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดใจคนกลุ่มใหม่ ๆ เข้าสู่องค์กร

ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ในหลายองค์กรต่างให้ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับองค์ความรู้ในการยกระดับ และพัฒนาบุคลากรด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 4 ทักษะ ดังนี้

1. Business Acumen

ทุกวันนี้เศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กลุ่มลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม และความสนใจตลอดเวลา องค์กรต้องทำงานด้วยความเร็ว ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ยุคใหม่ ก็ต้องอ่านเกมส์ทั้งในเรื่องบุคลากรและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างชัดเจน

ซึ่งนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บุคลากรในองค์กรต้องเสริมทักษะ สร้างความหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ นอกจากนี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องปรับเปลี่ยนการคัดสรรคอร์สการเรียนรู้เพื่อเสริมบุคลากรให้แข็งแกร่งให้เหมาะสมกับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปนี้

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องมีปฏิภาณทางธุรกิจ ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ด้านการดำเนินธุรกิจขององค์กร และต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง”

2. HR Technology and Data Analytics

การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อค้นหาและเข้าถึงข้อมูลเฉพาะบนโลกออนไลน์นับมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคลังค้นหาข้อมูลที่อัดแน่นด้วยข้อมูลหลากหลายมิติ ต้องทำงานจากข้อมูลจริงของทั้งพนักงาน และสถานการณ์แวดล้อม เพื่อเข้าถึงความต้องการของบุคลากรในองค์กร จัดข้อมูลเพื่อให้ทีมผู้บริหารแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้บุคลากรสนุกกับการตอบคำถาม หรือง่ายต่อการเก็บข้อมูล นั่นแปลว่าองค์กรไม่สามารถจะลงทุนแค่กับเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ด้วย

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้ทันยุคเพื่อแสวงหาความต้องการของบุคลากร ต้องอ่านข้อมูลและแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง และครบสมบูรณ์”

3. Marketing Expertise 

จากกระแสโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องเข้าใจสถานการณ์และความต้องการขององค์กร เพื่อที่จะคัดสรรและปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดสรรบุคลากรที่จะเข้าร่วมงานกับองค์กรได้อย่างเหมาะสม ต้องดูแลพนักงาน สื่อสารกับพนักงานเปรียบเสมือนลูกค้า เข้าใจ เป็นมิตร ใกล้ชิด เพื่อจะได้ศึกษา รับรู้พฤติกรรม ความต้องการ และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานในการขับเคลื่อนองค์กรตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของการทำงานในรูปแบบเดียวกับที่ฝ่ายการตลาดใช้เครื่องมือมาร์เก็ตติ้งในการดึงดูดลูกค้า

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องขายของให้เป็น”

4. HR Agility

สภาวะเศรษฐกิจที่เคลื่อนไหวรุนแรงและรวดเร็ว นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับทุกองค์กร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ในการทำงานหรือสามารถทำงานมากกว่าที่ตนเองรับผิดชอบได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับบุคลากรคนอื่น ๆ เกิดการเรียนรู้และเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้ได้มากที่สุด

“ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ต้องพร้อมปรับตัว และสร้างความคล่องตัวให้ได้มากที่สุด”

จะเห็นได้ว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการติดต่อทั้งภายนอกและภายในองค์กรย่อมต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งติดองค์ความรู้ เสริมทักษะให้ครบเพื่อเป็นขุมพลังสำคัญให้กับองค์กรต่อไป

Latest โพสต์ล่าสุด VIEW ALL

test2

ffff


บริหารเวลาง่าย ๆ ด้วย “Eisenhower Box”

รอบตัวในการทำงานนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนหลาย ๆ ครั้งเราแทบไม่รู้ว่าเราควรที่จะลงมือแก้ปัญหาจากจุดไหนก่อนดี เพราะหลายครั้งเราไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงมือจัดการปัญหาตามลำดับความสำคัญ เราขอนำเสนอเทคนิคการใช้ “Eisenhower Box” ซึ่งเครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการบริหารเวลาในการทำงานได้อีกด้วย

Eisenhower Box หรือ Eisenhower Matrix เป็นแนวคิดของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำเพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของการทำงานผ่านตารางทั้ง 4 ช่อง ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ, งานไม่ด่วนแต่สำคัญ, งานด่วนแต่ไม่สำคัญ ไปจนถึงงานที่ไม่ด่วนและไม่สำคัญ

หัวใจหลักของการใช้ Eisenhower Box คือการแยกความหมายระหว่างด่วนกับสำคัญ ให้ออกเพื่อจะได้รู้ว่าหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอยู่ควรจัดการอย่างไร

ด่วน คือ สิ่งที่ต้องการความสนใจทันที ต้องใช้เวลาตัดสินใจสั้น

สำคัญ คือ สิ่งที่ไม่ต้องรีบแต่ก็ต้องทำสักวันในอนาคต หรืองานที่อาศัยการวิเคราะห์และความละเอียด ทำแล้วมีผลระยะยาว รวมถึงเมื่อทำเสร็จเราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ

หวังว่า Eisenhower Box ที่นำมาฝากกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการตารางเวลาการทำงานและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระ และเพิ่มเวลาในชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก : 

https://leventje.nl/eisenhower-matrix/

https://www.spica.com/blog/the-eisenhower-matrix

 


5 วิธี เอาชนะ Monday Blues

พรุ่งนี้วันจันทร์!!!

 

เกลียดวันจัทร์ หรือ Monday Blues เป็นอาการที่แค่นึกถึงวันจันทร์ก็ไม่สบายใจแล้ว มีหลายคนเป็นโรคนี้กันจนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของหลายประเทศไปเลย

โรคเกลียดวันจันทร์ ไม่ต้องบำบัด แต่ต้องหาวิธีรับมือ

 

มาดู 5 วิธีรับมือกับอาการนี้กันดีกว่า

 

1. รีบเคลียร์งานบ้าน

คนทำงานส่วนใหญ่ มักทำงานบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันเสาร์ จะได้ใช้เวลาพักผ่อนแบบเต็มที่ในวันอาทิตย์ ชาร์จพลังให้พร้อมกับมาทำงานอย่างเต็มที่

 

2. ใช้วันหยุดพักผ่อนให้คุ้มค่าที่สุด

บางคนมักจะปล่อยวันหยุดไปกับการนอนตื่นสาย หรือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าในวันหยุดคือ การทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า น่าจดจำ น่าประทับใจ และมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนวันหยุดของเราเอาไว้ ว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น เช่น วางแผนการไปเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ แต่ถ้าไม่อยากออกไปเสี่ยงภายนอกก็อาจจะนัดทานข้าว หรือหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันภายในบ้านก็น่าสนใจค่ะ

 

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนวันอาทิตย์

การเข้านอนให้เร็วขึ้นในคืนวันอาทิตย์และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหากได้พักผ่อนไม่กี่ชัวโมง แล้วต้องมาตื่นในขณะที่ร่างกายและสมองของคุณยังไม่พร้อม การเริ่มต้นวันจันทร์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หม่นหมอง อารมณ์ไม่ดี หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำงานได้

 

4. ทำลิสต์สำหรับสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง

สาเหตุที่หลายคนรู้สึกไม่ชอบวันจันทร์อาจเพราะว่าอะไรหลาย ๆ อย่างดูเร่งรีบไปหมด จนทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบในการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมีการวางแผนที่ดีจดสิ่งที่ต้องทำหรือเขียนแพลนเนอร์เอาไว้ ในแต่ละวันของสัปดาห์คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือเคลียร์งานอะไรให้เสร็จ เขียนเดดไลน์ให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ง่ายขึ้น

 

5. หาแรงบันดาลใจ

ลองหาแรงบันดาลใจในที่ทำงาน จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และทำให้วันทำงานของคุณกลายเป็นวันดี ๆ

 

ทั้งหมดนี้คิอ 5 วิธีการรับมือกับอาการเกลียดวันจันทร์ที่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้นลดลงไปได้บ้าง

 

ขอบคุณที่มา : https://varnam.my/featured/2022/55788/five-things-to-do-to-get-your-sundays-prepped-for-monday/