HIGHLIGHT ACTIVITIES




MY COURSE คอร์สล่าสุด VIEW ALL
FAVORITE COURSE คอร์สโปรด VIEW ALL
NEW COURSE คอร์สใหม่ VIEW ALL
การตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้ใช้งานระบบและผู้ดูแลระบบ

วัตถุประสงค์ 1. มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ IT อย่างถูกต้องปลอดภัย 2. มีความรู้ความเข้าใจในภัยคุกคามต่าง ๆ ในโลกของเทคโนโลยี 3. มีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. มีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่ของตนเองในการใช้งานเทคโนโลยี

การสร้าง Visual Report By Power BI Desktop

"Microsoft Power BI Desktop เป็นโปรแกรมจาก Microsoft ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ หรือช่วยสรุปผลข้อมูลจำนวนมากได้ไม่จำกัด จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Excel File, Microsoft Access Database, SQL Server เป็นต้น และสามารถสร้างรูปแบบรายงานเชิงวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพหรือ Business Intelligence (BI) ที่เหมาะสำหรับนำมาสร้างรายงานในรูปแบบ Interactive ได้อย่างรวดเร็ว Power BI Desktop นั้นมีรูปแบบการนำเสนอข้อมูลของกราฟให้เลือกมากมาย สามารถนำไปใช้งานได้ในรูปแบบ Real Time โดยแสดงผลผ่านเว็บไซต์ และอุปกรณ์ Mobile หรือ Tablet ได้อีกด้วยทำให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมในการวางแผนการทำงาน หรือกำหนดกลยุทธ์ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในทางธุรกิจทำให้คุณนำเสนอได้อย่างมืออาชีพ

สร้างงานนำเสนอให้โดนใจหัวหน้างาน (Excel : PivotTable and PivotChart)

สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากด้วย PivotTable ซึ่งได้เจาะลึกการใช้เครื่องมือที่มีใน Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดเรียง (Sort) การใช้ฟิลเตอร์ (Filter) ในการกรองข้อมูล การสรุปข้อมูลแบบมีเงื่อนไข (Conditional Formatting) การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบแผนภูมิ (Charts) การสรุปข้อมูล (PivotTable) และตัวอย่างการใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์ข้อมูล อันเป็นพื้นฐานแนวความคิดและความรู้ในการพัฒนาและออกแบบฐานข้อมูลทางธุรกิจ พร้อมวิธีการปรับแต่งตาราง PivotTable และ PivotChart ให้เหมาะสมกับประเภทงานที่ต้องการนำเสนอ


Recommend โพสต์แนะนำ VIEW ALL

10 ทักษะการทำงานที่ต้องมีก่อนปี 2025

จากรายงาน The Future of Jobs โดย World Economic Forum (WEF) คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 ทักษะการทำงานที่เป็นที่ต้องการจะเปลี่ยนไปจากเดิม อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2022 สัดส่วนการทำงานร่วมกันระหว่างคนและเครื่องจักรหรือระบบอัลกอริทึม (Algorithm) จะอยู่ที่คน 58% และเครื่องจักร 42% จากเทรนด์ดังกล่าว อาจทำให้พนักงานที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดมีโอกาสเสี่ยงตกงานสูง ในขณะเดียวกันทักษะที่มีอยู่แล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงและต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มพูนทักษะและทำให้มีความก้าวหน้าในการทำงานมากยิ่งขึ้น มาดูทักษะที่จำเป็นสำหรับปี 2025 ซึ่งประกอบด้วยทักษะ 4 กลุ่มหลักคือ ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem-solving) ทักษะการบริหารจัดการตัวเอง (Self-management) ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Working with people) และทักษะการใช้และการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology use and development) ซึ่งทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) และทักษะการแก้ปัญหา (Problem-solving) เป็นทักษะอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริหารเชื่อว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งความสอดคล้องกับรายงานในปี 2016 แต่ทักษะที่มาใหม่ในปีนี้คือ ทักษะการบริหารจัดการตัวเอง (Self-management) เช่น การเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) การรับมือกับปัญหา อดทนต่อความกดดัน และการปรับตัว (Resilience, stress tolerance and flexibility):

 

กลุ่มที่ 1 ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem-solving): เป็นทักษะที่สำคัญในอนาคตเพราะการทำงานในอนาคตจะมีความยากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นโลกยุคใหม่จึงต้องการพนักงานที่มีทักษะการคิดและตัดสินใจที่ดี รวมถึงสามารถคิดค้นวิธีใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาให้กับองค์กรได้ ทักษะเหล่านี้จึงเป็นทักษะจำเป็นที่พนักงานควรมีไม่ว่าจะทำงานอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ทักษะกลุ่มนี้คือ

1.  ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม (Analytical thinking and innovation): 

2.  ทักษะการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน (Complex problem-solving)

3.  ทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking and analysis)

4.  ทักษะความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่ม (Creativity, originality and initiative)

5.  ทักษะการสร้างไอเดีย ให้เหตุผล การแก้ไขปัญหา (Reasoning, problem-solving and ideation)

 

กลุ่มที่ 2 ทักษะการบริหารจัดการตัวเอง (Self-management): ทักษะในกลุ่มนี้เป็นทักษะที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ เพราะเมื่อองค์กรต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ่งที่องค์กรคาดหวังจากพนักงาน คือ พนักงานต้องสามารถรับมือกับปัญหาได้ สามารถจัดการกับอารมณ์และความกดดัน ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง รวมถึงรู้จักปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทักษะเหล่านี้จึงเป็นทักษะที่พนักงานควรพัฒนาและฝึกฝนอยู่เสมอ ทักษะกลุ่มนี้คือ 

6.  ทักษะการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) 

7.  ทักษะการรับมือกับปัญหา อดทนต่อความกดดัน และการปรับตัว (Resilience, stress tolerance and flexibility)

 

กลุ่มที่ 3 ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Working with people): องค์กรต่าง ๆ ต้องการผู้นำที่มีอุดมการณ์และมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้า ผู้นำยุคใหม่จึงต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างสังคมการทำงานที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและมีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของทีมออกมา ทักษะกลุ่มนี้คือ

8.  ทักษะการเป็นผู้นำและสร้างแรงบันดาลใจ (Leadership and social influence) 

 

กลุ่มที่ 4 ทักษะการใช้และการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology use and development): องค์กรเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น ทักษะการใช้เทคโนโลยี ตลอดจนเครื่องมือดิจิทัลและโปรแกรมใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Data & AI, Cloud Computing, Digital Marketing & E-Commerce, Software Engineering หรือ Product Development นอกจากนี้ทักษะด้านการออกแบบและเขียนโปรแกรมก็จะยิ่งมีความต้องการมากขึ้นเช่นกันทักษะในกลุ่มนี้คือ

9.  ทักษะการใช้ ดูแล และจัดการเทคโนโลยี (Technology use, monitoring and control)

10. ทักษะการออกแบบเทคโนโลยีและการเขียนโปรแกรม (Technology design and programming)

การเปลี่ยนแปลงในอนาคตกำลังมาหาเราอย่างรวดเร็วการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ ไม่จำเป็นต้องกลัวมากเกินไป เพียงแค่อย่าหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ปรับตัวและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.weforum.org/agenda/2020/10/top-10-work-skills-of-tomorrow-how-long-it-takes-to-learn-them/

 


ฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก

หลาย ๆ คนอาจเคยเจอเหตุการณ์ รู้สึกคุ้น ๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ โดยรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไม่สามารถนึกออกมาเป็นคำพูดได้ เหมือนติดอยู่ตรงปาก อาการแบบนี้เรียกว่า “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น (Tip-of-the-tongue)” เกิดจากสมองไม่สามารถเชื่อมโยงความหมายและเสียงของคำที่ต้องการได้ทั้งหมด ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณไม่ได้ยินหรือพูดคำนั้นเป็นเวลานาน แม้ว่าชื่อนั้นจะฝังอยู่ในความจำระยะยาว (Long-Term Memory) ก็ไม่สามารถดึงความจำออกมาได้ทั้งหมด ทำให้นึกออกเพียงพยางค์หรือตัวอักษรบางตัวเท่านั้น 

วิธีที่จะทำให้คุณสามารถนึกถึงคำเป้าหมายออกมาได้ คือ ให้พยายามนึกถึงพยัญชนะสำคัญที่พอจะนึกออก แล้วค่อย ๆ นำมาประกอบเป็นคำ ๆ จนกระทั่งสมองของคุณสามารถเชื่อมโยงไปสู่คำที่ถูกต้องได้

ปรากฏการณ์  “ติดอยู่ที่ปลายลิ้น” ถือเป็นอาการปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกคนเป็นครั้งคราว หรือเกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีอายุมากขึ้น ไม่ใช่อาการผิดปกติอะไรนะทุกคน 

เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เรามาฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก กันเถอะ

จากรายงานของ Dr. Amishi Jha ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยไมแอมีและผู้แต่งหนังสือเรื่อง “Peak Mind: Find Your Focus, Own Your Attention, Invest 12 Minutes a Day” ได้กล่าวไว้ว่า การที่คนเราจะจดจำอะไรบางอย่างได้ดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง นั่นก็คือ

1. การฝึกฝน (Rehearsal) : การพยายามนึกถึงความสนใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วพยายามดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น การเล่นทายคำกับเพื่อน ๆ ว่าท่าทางที่เพื่อนทำนั้นคืออะไรนั่นเอง

2. การขยายความ (Elaboration) : การนำประสบการณ์ หรือความรู้เดิมที่มีอยู่ไปเชื่อมต่อกับความสนใจที่มีต่อสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้จดจำสิ่งใหม่ ๆ แล้วยังช่วยให้จดจำได้ดียิ่งขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น เพื่อนบอกให้คุณนึกถึงภาพนกฟลามิงโก้ และเพื่อนก็บอกคุณอีกว่า รู้ไหมว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัวตลอดเลยนะ จะเห็นได้ว่าตอนแรกคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ตอนนี้คุณก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้เพิ่มมากขึ้น กระบวนการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้คือ การที่คุณนำความรู้ที่มีอยู่มาเชื่อมต่อกับความรู้ใหม่ ทำให้คุณจดจำสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณบังเอิญเห็นนกฟลามิงโก้ คุณก็อาจนึกขึ้นมาได้ว่านกฟลามิงโก้มันกินกลับหัว

3. การรวบรวม (Consolidation) : ทั้งสองกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นกระบวนการที่ช่วยสนับสนุนการสร้างหน่วยความจำเริ่มต้น แต่หากคุณต้องการเปลี่ยนจากระยะเริ่มต้น คุณต้องพยายามนึกซ้ำ ทำซ้ำ หลาย ๆ ครั้ง โดยโฟกัสที่กิจกรรมเหล่านั้น เพื่อให้สามารถจดจำได้แม่นมากขึ้น การนึกซ้ำ ๆ ทำซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดเป็นความจำระยะยาวที่แข็งแกร่งขึ้น

อีกหนึ่งวิธีเบสิคที่ดี และทำได้ง่าย ๆ ก็คือการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้มาก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีดีต่อสมองของคุณเช่นกัน

และนี่ก็คือการฝึกสมองให้จำเก่ง และลืมยาก ใครนําไปใช้และได้ผลก็อย่าลืมคอมเมนต์ด้านล่างเพื่อบอกกันบ้างนะ

 

ขอบคุณที่มาจาก : 

https://en.wikipedia.org/wiki/Tip_of_the_tongue#:~:text=Tip of the tongue (also,feeling that retrieval is imminent.

https://www.cnbc.com/2022/01/01/a-neuroscientist-shares-the-3-step-brain-exercise-she-does-for-a-stronger-and-healthier-memory.html


ทำไม…องค์กรส่วนใหญ่ในปัจจุบันเฟ้นหาพนักงานที่มี CQ

อะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการมองหาผู้สมัครงานในปัจจุบัน?

คำตอบไม่ใช่ IQ แต่เป็น CQ! (Creative Quotient) ความฉลาดในการริเริ่มสร้าง

มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมความคิดสร้างสรรค์ถึงเป็นที่ต้องการ

คนที่มี CQ สูง มักมีแนวคิดใหม่ ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเฟ้นหาพนักงานที่มี Creativity สูง เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์สามารถต่อยอดและกระตุ้นการเติบโตของรายได้ รวมถึงสร้างกำไรได้ จากการเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งกระบวนการ เพราะสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มยอดขาย ปรับปรุง และพัฒนากระบวนการขาย ลดค่าใช้จ่าย พัฒนาองค์กร พัฒนาประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า หรือแม้แต่ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรให้คิดและทำอย่างสร้างสรรค์ควบคู่กับการมีนวัตกรรม ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์ (CQ) จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณก้าวไปข้างหน้า

ตอนนี้ ก็ได้รู้ว่าความคิดสร้างสรรค์คืออะไร และเหตุใดจึงจำเป็น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าความคิดสร้างสรรค์สามารถพัฒนาได้

ลองทำตามวิธีเหล่านี้เพื่อปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

1. พาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว ไปเดิน ไปวิ่งตามสวนสาธารณะ

2. เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เริ่มจากสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ อย่างการลองศึกษาสูตรอาหารใหม่ ๆ แล้วลงมือปรุงด้วยตัวเอง หรือเริ่มเล่นกีฬาที่ไม่เคยลองมาก่อน

3. ควรลองปรับเปลี่ยนตนเองด้วยการเติมความรู้ใหม่ ๆ

4. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ด้วยกิจกรรม เช่น วาดรูปอะไรก็ได้ที่นึกออกให้อยู่ในวงกลม 30 วง ภายในเวลา 3 นาที กิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นสมองให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ดีทีเดียว

5. อ่านหรือฟังเรื่องราวที่แตกต่างหลากหลาย การเปิดหูเปิดตาดูหรือลองฟังเรื่องราวใหม่ ๆ ที่คุณคิดว่าน่าสนใจจะทำให้คุณมองเห็นอะไรในมุมมองที่ต่างไปจากเคย

6. หาเวลาหยุดพักเพื่อผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่สมองของคุณหยุดพักจากการทำงานที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนัก สมองของคุณจะได้พักผ่อน สมองจะเริ่มรวบรวมความทรงจำ ความรู้สึกนึกคิดและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เจอในวันนั้นเข้าด้วยกัน เหมือนเป็นการเชื่อมโยงและเรียงร้อยไอเดีย รวมถึงประสบการณ์ที่คุณได้เผชิญมาเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้คุณมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

7. คู่หูช่วยคิด ช่วยสร้างสรรค์ไอเดียที่อยู่ในองค์กรเดียวกันเอาไว้สักคน ผลัดกันเป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังแก่กัน คอยเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อมองหาไอเดียใหม่ ๆ ที่อาจไม่เคยมองเห็นมาก่อน

8. ควรออกเดินทางไปให้พ้นจากทางตันของกรอบความคิดดูบ้าง เพราะแค่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางก็อาจมอบไอเดียใหม่ ๆ ให้คุณได้แล้ว

ขอบคุณที่มาจาก : 

https://rs-raghavan.medium.com/what-is-cq-how-it-can-help-you-build-a-creative-workforce-699644f7902f

https://www.innovacreate.com/post/5-ways-to-ignite-your-creativity-for-innovation

https://www.esquiremag.ph/long-reads/what-is-adversity-quotient-a00293-20191209

Popular โพสต์สำคัญ VIEW ALL

เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่สมดุล ด้วยสูตร “8:8:8"

เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่หลายคนมักบ่นว่าไม่มีเวลา! ทำงานไม่ทัน! มาบริการจัดการเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่งานเพียงอย่างเดียว มาแบ่งเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักด้วยสูตร “8:8:8” กัน

สูตร “8:8:8” เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบริ์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน

สูตร “8:8:8” เป็นการแบ่งจำนวน 24 ชั่วโมงของ 1 วัน ออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันคือ

8 ชั่วโมงแรก: อยู่กับงานให้เต็มที่ (Work Smart) เป็นช่วงเวลาที่เราใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งในแต่ละวันเราควรตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ควรหาเวลาพักเบรกระหว่างทำงานด้วย เช่น 1 ชั่วโมง พัก 5 นาที ไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่น ฟังเพลง เพื่อลดความเครียดในการทำงาน

8 ชั่วโมงที่สอง: ดูแลตัวเองและครอบครัว (Quality Time) เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของตนเอง พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อฝูง หรือทำงานอดิเรก

8 ชั่วโมงที่สาม: พักผ่อนให้เพียงพอ (Live Well) เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนและการนอน เพราะสุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอไม่น้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมง การนอนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพดีทั้งในแง่ของการฟื้นฟูพละกำลัง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานของฮอร์โมนที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย และยังช่วยในแง่ของการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับอีกด้วย

สูตรการบริหารเวลา “8:8:8” จะช่วยให้เราจัดสรรเวลาในด้านต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถที่จะยืดหยุ่นเวลาได้ตามไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งทางที่ดีที่สุดควรให้แต่ละด้านมีเวลาเท่า ๆ กัน และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ชีวิตของเราก็จะสมดุล


7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย

91% ของยอดขายทั่วโลกทำผ่านโทรศัพท์

80% ของรายได้บริษัทมาจากฝ่ายขาย

ในแต่ละปีบริษัทมักสูญเสียลูกค้า 10%-30%

มีเพียง 2% ของยอดขายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพบผู้มุ่งหวังครั้งแรก 

18% ของยอดขายมักล้มเหลวในขั้นตอนปิดการขาย

47% ของลูกค้าเคยซื้อผลิตภัณฑ์/บริการแม้ว่าพวกเขาจะได้รับบริการจากผู้ขายที่ไม่ดี

63% ของผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์/บริการจะไม่ซื้ออย่างน้อย 3 เดือน

20% ของผู้มุ่งหวังจะใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการซื้อหลังจากการติดต่อครั้งแรก!

มีเพียง 20% ของผู้มุ่งหวังที่ได้รับการโทรติดตาม ส่วนอีก 80% หายไป

 

7 ทักษะสำคัญในการเป็นพนักงานขาย

1. การเตรียมข้อมูลก่อนพบลูกค้า

ก่อนที่จะเข้าพบลูกค้า เราจะต้องทำค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้า ธุรกิจของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ที่หามาได้จัดทำเป็นแผนการดำเนินงานในการเข้าพบลูกค้า

2. การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า/ผู้มุ่งหวัง

การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีจะสร้างความผูกพันระยะยาวกับลูกค้าให้อยู่กับเรา ลูกค้าที่รักเราเป็นเสมือนกระบอกเสียงด้านบวกให้กับสินค้า/บริการ เป็นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร

3. การนำเสนอข้อมูลบริษัท

การแนะนำตนเองและนำเสนอข้อมูลบริษัทให้ดูดี เป็นที่น่าจดจำ ย่อมทำให้ความรู้สึกของลูกค้านั้นเป็นบวก

4. การนำเสนอที่สร้างความเชื่อมั่น คล้อยตาม

การนำเสนอที่ทำให้ลูกค้ารู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้า/การบริการ ผลประโยชน์ และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่จะได้รับ เป็นการนำเสนอที่สามารถสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ และสามารถเปลี่ยนภาพของเราจากพนักงานขายไปเป็นที่ปรึกษาที่นั่งในใจลูกค้าได้

5. การเปิด-ปิดการขาย

การเปิดการขายเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะถ้าเริ่มต้นไม่ดี ก็จบเห่ ฉะนั้น การเปิดการขายสำคัญพอ ๆ กับการปิดการขาย 

6. การเล่าเรื่อง

การเล่าเหมือนนิทานหรือนิยาย จะสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ฟังสนใจ และจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี การเล่าเรื่องเป็นอีกทักษะที่สำคัญเพื่อใช้ในการช่วยการนำเสนอเลยก็ว่าได้

7. การท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น

พนักงานขายจำเป็นต้องมีความท้าทายที่สูงขึ้น/ยากขึ้น โดยตั้งจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

 

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ หลักสูตร : C0010 เทคนิคปิดการขายทันใจ กำไรทะลุเป้า (Sales Techniques)


กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง

การพรีเซนต์งานเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะต่อให้คุณทำงานดีแค่ไหนแต่ไม่สามารถอธิบายหรือพรีเซนต์ให้หัวหน้าฟังหรือลูกค้ารู้ได้ว่าโปรเจคนี้เป็นอย่างไร ก็เป็นอันจบ!

แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณพรีเซนต์ออกมาอย่างมือโปร ได้ใจทั้งหัวหน้าและลูกค้า

วันนี้ WISIMO มีเคล็บลับ “กฎ 10 นาที พรีเซนต์งานให้ปัง” มาฝากทุกคน

มารู้จักกฎ “กฎ 10 นาที” กันก่อน

เคยสังเกตรึเปล่า ว่าทุกครั้งที่นั่งประชุม หรือฟังการพรีเซนต์ คุณจะตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หรือเริ่มอยากจะวาดรูปเล่น 

จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา เรื่องระดับความสนใจของผู้ฟังกับระยะเวลาในการนำเสนอ ของ Antony Jay and Ros Jay ในปี 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการนำเสนอที่ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 40 นาที พบว่าช่วงเวลา 10 นาทีแรก ความสนใจของผู้ฟังจะอยู่ในระดับที่สูง

หลังจากนั้นระดับความสนใจจะลดลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประมาณ 30 นาที ระดับความสนใจจะอยู่ในระดับต่ำสุด และจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้เวลา 5 นาทีสุดท้าย

ซึ่งสอดคล้องกับ John Medina นักอณูชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ได้อธิบายปรากฎการณ์นี้ ว่าเกิดจากนาฬิกาในร่างกายของเรา ที่กำหนดให้เรามีสมาธิเต็มที่ ได้ไม่เกิน 10 นาที จากนั้น ระดับความสนใจจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ผู้นำเสนอที่ดีจะต้องไม่ปล่อยให้กราฟความสนใจของผู้ฟังเกิดขึ้นแบบนี้ แต่จะต้องทำยังไง เพื่อดึงความสนใจของผู้ฟังให้ได้

มาดูเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้ 10 นาทีนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน

1. กำหนดวัตถุประสงค์และวิเคราะห์ก่อนการนำเสนอ

ก่อนจะพรีเซนต์งานทุกครั้งคุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน วิเคราะห์เนื้อหาโดยการย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น และวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อสร้างสื่อและวิธีนำเสนอที่เหมาะสม

2. วางโครงสร้างเนื้อหา 

การวางโครงสร้างเนื้อหาสามารถแบ่งอออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนเกริ่นนำ (Opening) ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณจะต้องเปิดให้ดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวคุณ ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น เน้นติดตาม ส่วนเนื้อหา (Body) เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผู้ฟังได้ทราบ แต่คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย และส่วนสรุป (Closing) ซึ่งถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะสร้างความจดจำ เน้นย้ำให้เห็นด้วย หรือสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง

ในการวางโครงสร้างเนื้อหาคุณอาจนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ร่วมด้วย เพราะการพรีเซนต์งานด้วยข้อมูลหนัก ๆ หรืออัดแน่นด้วยตัวเลขทางสถิติอาจทำให้คุณดูมีความรู้ มีการเตรียมการมาอย่างดี แต่จะไม่มีใครจำในสิ่งที่คุณพูดได้ ในทางกลับกันการบอกเล่าเรื่องราวโดยการสื่อด้วยน้ำเสียงที่เข้าถึงอารมณ์ด้วยการเล่าเรื่องหรือการยกตัวอย่างง่าย ๆ จะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและจดจำได้ดีกว่า แต่ต้องเล่าให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น ถ้าออกทะเลเมื่อไหร่ผู้ฟังก็อาจจะออกจากห้องไปด้วยเช่นกัน 

เมื่อคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีเนื้อหาที่ย่อยข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญไม่เกิน 3 – 4 ประเด็น มีวิเคราะห์ผู้ฟัง และมีการวางโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ก็ลองนำ “กฎ 10 นาที” มาปรับใช้กับการ    พรีเซนต์งานของคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนไม่ควรพูดนานเกิน 10 นาที จากนั้นอาจเว้นด้วยการให้รับชมภาพประกอบ หรือวีดีโอ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาในส่วนถัดไป

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวช่วยให้คุณมีความกล้าพูดและพรีเซนท์งานไม่ติดขัดก็คือ “การซ้อมพูด” ไปก่อนนั่นเอง คนไหนที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหัวหน้าหรือลูกค้า ลองซ้อมพูดหน้ากระจก หรือจำลองสถานการณ์ว่าตอนนี้คุณกำลังนำเสนองานอยู่ดู การเตรียมความพร้อมในการนำเสนอไปนั้น นอกจากจะช่วยให้คุณลดความประหม่าลงได้แล้ว ยังทำให้คุณแก้ไขเนื้อหาและสไตล์การพูดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือ “กฎ 10 นาที” ที่จะช่วยให้คุณพรีเซนต์งานให้ปัง 

 

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :

สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตร : C65001 ทักษะการนำเสนอสู่ความสำเร็จ (Presentation Skills)

 

 

Latest โพสต์ล่าสุด VIEW ALL

test2

ffff


บริหารเวลาง่าย ๆ ด้วย “Eisenhower Box”

รอบตัวในการทำงานนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนหลาย ๆ ครั้งเราแทบไม่รู้ว่าเราควรที่จะลงมือแก้ปัญหาจากจุดไหนก่อนดี เพราะหลายครั้งเราไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงมือจัดการปัญหาตามลำดับความสำคัญ เราขอนำเสนอเทคนิคการใช้ “Eisenhower Box” ซึ่งเครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการบริหารเวลาในการทำงานได้อีกด้วย

Eisenhower Box หรือ Eisenhower Matrix เป็นแนวคิดของ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำเพื่อจัดเรียงลำดับความสำคัญของการทำงานผ่านตารางทั้ง 4 ช่อง ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ, งานไม่ด่วนแต่สำคัญ, งานด่วนแต่ไม่สำคัญ ไปจนถึงงานที่ไม่ด่วนและไม่สำคัญ

หัวใจหลักของการใช้ Eisenhower Box คือการแยกความหมายระหว่างด่วนกับสำคัญ ให้ออกเพื่อจะได้รู้ว่าหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอยู่ควรจัดการอย่างไร

ด่วน คือ สิ่งที่ต้องการความสนใจทันที ต้องใช้เวลาตัดสินใจสั้น

สำคัญ คือ สิ่งที่ไม่ต้องรีบแต่ก็ต้องทำสักวันในอนาคต หรืองานที่อาศัยการวิเคราะห์และความละเอียด ทำแล้วมีผลระยะยาว รวมถึงเมื่อทำเสร็จเราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ

หวังว่า Eisenhower Box ที่นำมาฝากกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการตารางเวลาการทำงานและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระ และเพิ่มเวลาในชีวิตได้เยอะเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก : 

https://leventje.nl/eisenhower-matrix/

https://www.spica.com/blog/the-eisenhower-matrix

 


5 วิธี เอาชนะ Monday Blues

พรุ่งนี้วันจันทร์!!!

 

เกลียดวันจัทร์ หรือ Monday Blues เป็นอาการที่แค่นึกถึงวันจันทร์ก็ไม่สบายใจแล้ว มีหลายคนเป็นโรคนี้กันจนแทบจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของหลายประเทศไปเลย

โรคเกลียดวันจันทร์ ไม่ต้องบำบัด แต่ต้องหาวิธีรับมือ

 

มาดู 5 วิธีรับมือกับอาการนี้กันดีกว่า

 

1. รีบเคลียร์งานบ้าน

คนทำงานส่วนใหญ่ มักทำงานบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์งานบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันเสาร์ จะได้ใช้เวลาพักผ่อนแบบเต็มที่ในวันอาทิตย์ ชาร์จพลังให้พร้อมกับมาทำงานอย่างเต็มที่

 

2. ใช้วันหยุดพักผ่อนให้คุ้มค่าที่สุด

บางคนมักจะปล่อยวันหยุดไปกับการนอนตื่นสาย หรือปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าในวันหยุดคือ การทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า น่าจดจำ น่าประทับใจ และมีความสุขไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรวางแผนวันหยุดของเราเอาไว้ ว่าจะทำอะไรบ้างในวันนั้น เช่น วางแผนการไปเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนๆ แต่ถ้าไม่อยากออกไปเสี่ยงภายนอกก็อาจจะนัดทานข้าว หรือหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันภายในบ้านก็น่าสนใจค่ะ

 

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนวันอาทิตย์

การเข้านอนให้เร็วขึ้นในคืนวันอาทิตย์และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะหากได้พักผ่อนไม่กี่ชัวโมง แล้วต้องมาตื่นในขณะที่ร่างกายและสมองของคุณยังไม่พร้อม การเริ่มต้นวันจันทร์ของคุณอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า หม่นหมอง อารมณ์ไม่ดี หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำงานได้

 

4. ทำลิสต์สำหรับสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง

สาเหตุที่หลายคนรู้สึกไม่ชอบวันจันทร์อาจเพราะว่าอะไรหลาย ๆ อย่างดูเร่งรีบไปหมด จนทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบในการทำงาน โดยเฉพาะภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมีการวางแผนที่ดีจดสิ่งที่ต้องทำหรือเขียนแพลนเนอร์เอาไว้ ในแต่ละวันของสัปดาห์คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือเคลียร์งานอะไรให้เสร็จ เขียนเดดไลน์ให้ชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ง่ายขึ้น

 

5. หาแรงบันดาลใจ

ลองหาแรงบันดาลใจในที่ทำงาน จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และทำให้วันทำงานของคุณกลายเป็นวันดี ๆ

 

ทั้งหมดนี้คิอ 5 วิธีการรับมือกับอาการเกลียดวันจันทร์ที่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้นลดลงไปได้บ้าง

 

ขอบคุณที่มา : https://varnam.my/featured/2022/55788/five-things-to-do-to-get-your-sundays-prepped-for-monday/